การทุจริตคอร์รัปชันในภาครัฐยังคงเป็นมะเร็งร้ายที่กัดกินสังคมไทยและทั่วโลกมาอย่างยาวนาน ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการพัฒนาประเทศ ความเหลื่อมล้ำ และความเชื่อมั่นของประชาชนต่อระบบราชการ
จากข้อมูลล่าสุดขององค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ (Transparency International) ในรายงานดัชนีการรับรู้การทุจริต (CPI) ประจำปี 2024 (เผยแพร่ต้นปี 2025) สถานการณ์ของไทยอยู่อันดับ 107/180 มี 34/100 คะแนน ลดลงจากปี 2023 1 คะแนน
หากเทียบระดับภูมิภาค พบว่า ไทยอยู่ในอันดับที่ 20 ของเอเชียแปซิฟิก และอันดับที่ 5 ของอาเซียน ตามหลังสิงคโปร์ (ได้ 84 คะแนน) มาเลเซีย (ได้ 50 คะแนน) ติมอร์เลสเต (ได้ 44 คะแนน) เวียดนาม (ได้ 40 คะแนน) และอินโดนีเซีย (ได้ 37 คะแนน)
ที่ผ่านมา การแสวงหายาแรง หรือมาตรการขั้นเด็ดขาดถูกหยิบยกขึ้นมาถกเถียงอยู่เสมอ โดยเฉพาะโมเดลการใช้โทษประหารชีวิต ซึ่งถือเป็นบทลงโทษที่รุนแรงที่สุดในทางอาญา คำถามคือ มาตรการสุดโต่งนี้สามารถแก้ปัญหาได้จริง หรือเป็นเพียงดาบสองคมที่อาจสร้างปัญหาใหม่ในบริบทของไทย
เมื่อพูดถึงกฎหมายต่อต้านการทุจริตที่รุนแรงที่สุด หลายคนมักนึกถึง สาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งใช้โทษประหารชีวิตสำหรับการทุจริตในระดับที่ร้ายแรงอย่างต่อเนื่อง ภายใต้นโยบายปราบทั้งเสือและแมลงวัน ของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง (อ้างอิงจากรายงานของสื่อทางการจีน ปี 2025) มีเจ้าหน้าที่ระดับสูงจำนวนมากถูกตัดสินลงโทษขั้นสูงสุด ประโยชน์ที่เห็นได้ชัดเจนของแนวทางนี้คือการสร้างความกลัว (Deterrence) ในระดับสูงสุด เป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนจากรัฐบาลว่าการคอร์รัปชันคืออาชญากรรมร้ายแรงที่ไม่อาจยอมรับได้
อย่างไรก็ตาม ข้อควรระวังที่สำคัญคือประสิทธิผลที่แท้จริง แม้จะมีการปราบปรามอย่างหนัก แต่ดัชนี CPI ของจีนก็ยังไม่ขยับขึ้นไปอยู่ในกลุ่มประเทศที่โปร่งใสมากนัก อยู่อันดับ 76/180 มี 43/100 คะแนน เพิ่มขึ้นจากปี 2023 1 คะแนน นักวิเคราะห์หลายฝ่าย (ตามบทวิเคราะห์ของ The Economist, 2024) ชี้ว่า โทษที่รุนแรงอาจนำไปสู่การทุจริตที่ซับซ้อนขึ้น ปกปิดร่องรอยได้ดีขึ้น หรืออาจถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองในการกำจัดฝ่ายตรงข้าม มากกว่าการปราบปรามการทุจริตอย่างแท้จริง
ในขณะเดียวกัน เวียดนาม ก็เป็นอีกประเทศที่ใช้โทษประหารชีวิตสำหรับคดีคอร์รัปชันขนาดใหญ่ โดยเฉพาะในภาคธนาคารและรัฐวิสาหกิจ (ตามรายงานข่าวสากล ปี 2024-2025) การดำเนินการนี้สะท้อนความพยายามในการกอบกู้ศรัทธาจากประชาชน แต่ก็เช่นเดียวกับจีน คือยังมีความกังวลเกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรมและความโปร่งใสในการบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งภายหลังเวียดนามได้ยกเลิกโทษประหารชีวิตในข้อหายักยอกทรัพย์และรับสินบน มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคมที่ผ่านมา (2025)
หากหันมามองประเทศที่ประสบความสำเร็จในการปราบปรามคอร์รัปชันอย่างสูง เช่น สิงคโปร์ (ซึ่งมักอยู่ในอันดับต้นๆ ของดัชนี CPI เสมอ) จะพบภาพที่แตกต่างออกไป แม้สิงคโปร์จะมีกฎหมายที่เด็ดขาด (Prevention of Corruption Act) และบทลงโทษที่รุนแรง แต่หัวใจสำคัญของความสำเร็จกลับไม่ได้อยู่ที่ความรุนแรงของโทษ แต่อยู่ที่ความแน่นอนของการบังคับใช้กฎหมาย สิงคโปร์มีสำนักงานสืบสวนการทุจริต (CPIB) ที่เป็นอิสระ ขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี มีอำนาจในการสอบสวนเชิงลึกโดยไม่มีข้อยกเว้น ไม่ว่าผู้กระทำผิดจะเป็นใคร (อ้างอิงจากข้อมูลทางการของ CPIB, 2025) ประโยชน์ของโมเดลนี้คือการสร้างระบบที่ "จับได้แน่" มากกว่า "โทษหนัก" ซึ่งส่งผลให้การป้องกันมีประสิทธิภาพมากกว่าการไล่แก้ปัญหาปลายเหตุ
สำหรับบริบทของประเทศไทย ซึ่งตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ฉบับแก้ไข) ก็มีบทลงโทษที่รุนแรงถึงขั้นจำคุกตลอดชีวิตหรือประหารชีวิตอยู่แล้ว เช่น มาตรา 123/2 รวมถึงประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 สำหรับกรณีที่สร้างความเสียหายต่อประเทศอย่างมหาศาล ปัญหาจึงอาจไม่ได้อยู่ที่ตัวบทกฎหมายเบาเกินไป แต่กลับอยู่ที่การบังคับใช้ และกระบวนการยุติธรรมที่ล่าช้า การนำแนวคิดเรื่องโทษประหารชีวิตมาเน้นย้ำ อาจส่งผลดีในแง่จิตวิทยาต่อสังคมในระยะสั้น แต่ข้อเสียที่อาจเกิดขึ้นคือ การละเลยการปฏิรูประบบรากฐานที่สำคัญกว่า
ข้อควรระวังสำหรับไทยหากจะเน้นย้ำความรุนแรงของโทษ คือ 1) ความเสี่ยงของการตัดสินผิดพลาด (Miscarriage of Justice) ซึ่งหากเป็นโทษประหารชีวิต จะไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขได้ 2) การขาดการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง เช่น การสร้างความโปร่งใสในการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ (Open Data) การปฏิรูประบบอุปถัมภ์ และการสร้างหลักประกันให้กับผู้เปิดโปงการทุจริต (Whistleblowers) หากปราศจากสิ่งเหล่านี้ ถึงมีโทษประหาร การทุจริตก็อาจหาช่องทางเกิดขึ้นได้ 3) ความเสี่ยงที่กฎหมายจะถูกบังคับใช้อย่างเลือกปฏิบัติ
ดังนั้น แนวทางแก้ไขที่ยั่งยืนสำหรับประเทศไทย จึงไม่ควรพึ่งพาเพียงยาแรงอย่างการประหารชีวิต แต่ควรเรียนรู้จากสิงคโปร์ในมิติของความแน่นอน นั่นคือ การสร้างองค์กรอิสระที่ทรงพลังและปราศจากการแทรกแซงทางการเมืองอย่างแท้จริง การเร่งรัดกระบวนการยุติธรรมให้รวดเร็วและเป็นธรรม และการปลูกฝังวัฒนธรรมความโปร่งใสที่ตรวจสอบได้ในทุกระดับ
บทสรุปของเรื่องนี้คือ โทษประหารชีวิตอาจดูเป็นทางลัดที่น่าดึงดูดใจในการกวาดล้างการคอร์รัปชัน แต่ประวัติศาสตร์และข้อมูลเปรียบเทียบจากนานาชาติในปี 2024-2025 ชี้ชัดว่ามันไม่ใช่กระสุนเงิน (Silver Bullet) ที่แก้ได้ทุกปัญหา หากรากฐานของระบบและการบังคับใช้กฎหมายยังไม่เข้มแข็ง ยาแรงนี้ก็อาจเป็นดาบสองคมที่สร้างความหวาดกลัวแต่ไม่สามารถขจัดต้นตอของโรคได้จริง การสร้างสังคมที่โปร่งใสและระบบยุติธรรมที่เข้มแข็ง อาจเป็นแนวทางสร้างภูมิคุ้มกันคอร์รัปชันที่ยั่งยืนสำหรับประเทศไทย