เมื่อวันที่ 18 ต.ค.2568 นายวรภัค ธันยาวงษ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุกส่วนตัว ระบุว่า
" แนวโน้มเศรษฐกิจโลก – ตุลาคม 2025 (IMF World Economic Outlook) การประชุมประจำปี Worldbank IMF 2025 ในอาทิตย์ที่ผ่านมานี้
1. ภาพรวมการเติบโตของเศรษฐกิจโลก
IMF คงคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจโลกไว้ที่ 3.2% ในปี 2025 และ 3.1% ในปี 2026 สะท้อนการฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปท่ามกลางความท้าทายเชิงโครงสร้างและความไม่แน่นอนทางภูมิเศรษฐกิจ แม้ว่ามาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ที่ประกาศใช้ในเดือนเมษายน 2025 จะสร้างแรงกดดันต่อการค้าโลก แต่ข้อตกลงทางการค้าและข้อยกเว้นจำนวนมากช่วยบรรเทาผลกระทบ ทำให้ผลกระทบโดยรวมต่อการเติบโตยังคง “จำกัด” แต่บั่นทอนโอกาสการเร่งตัวของเศรษฐกิจในระยะกลาง
2. ความเสี่ยงขาลง (Downside Risks)
IMF เน้นย้ำว่าความเสี่ยงที่อาจฉุดรั้งเศรษฐกิจโลกให้เติบโตต่ำกว่าคาดมีหลายประการ ได้แก่:
• ความตึงเครียดทางการค้า: การยกระดับความขัดแย้งทางการค้าอาจลดผลผลิตโลกได้ถึง 0.3%
• ฟองสบู่เทคโนโลยี: การลงทุนร้อนแรงในภาคเทคโนโลยี โดยเฉพาะ AI อาจก่อให้เกิดภาวะฟองสบู่คล้ายวิกฤตดอทคอม ซึ่งอาจกระตุ้นให้เกิดการปรับขึ้นดอกเบี้ยและแรงกระเพื่อมในตลาดการเงินโลก
• รูปแบบการเติบโตของจีน: ความเปราะบางในภาคอสังหาริมทรัพย์และการพึ่งพาการส่งออกมากเกินไปเป็นจุดเสี่ยงสำคัญของจีน ซึ่งมีผลกระทบเชื่อมโยงต่อเศรษฐกิจโลก
• ข้อจำกัดทางการคลัง: หลายประเทศยังไม่สามารถสร้าง “พื้นที่ทางการคลัง” เพิ่มได้ทัน ทำให้เปราะบางต่อดอกเบี้ยที่สูงและระดับหนี้สาธารณะที่เร่งขึ้น
• แรงกดดันต่อธนาคารกลาง: การเรียกร้องให้ผ่อนคลายนโยบายการเงินอาจบั่นทอนความน่าเชื่อถือและก่อความเสี่ยงต่อภาวะเงินเฟ้อในระยะต่อไป
3. โอกาสเชิงบวก (Upside Potential)
แม้จะมีแรงกดดัน แต่ IMF มองว่ามีโอกาสหลายด้านที่สามารถช่วยพยุงและเร่งการเติบโต:
• การลดความไม่แน่นอนเชิงนโยบาย: การบรรลุข้อตกลงทางการค้าและลดภาษีสามารถเสริมความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจ
• ศักยภาพของ AI: เทคโนโลยี AI มีศักยภาพเพิ่มผลิตภาพทั่วโลก หากบริหารความเสี่ยงได้ดี
• นโยบายภายในประเทศที่มีประสิทธิภาพ: การปฏิรูปเชิงโครงสร้างและลดความไม่สมดุลทางเศรษฐกิจจะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นในระบบ
• การลงทุนเพื่ออนาคต: การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและนโยบายสนับสนุนนวัตกรรมภาคเอกชนจะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของการเติบโตระยะยาว
4. ประเด็นคำถามสำคัญจากสื่อมวลชน
• สหรัฐฯ – จีน: มาตรการภาษีของสหรัฐฯ มีผลจำกัดในระยะสั้น แต่สร้างความไม่แน่นอนเชิงนโยบายที่กระทบการลงทุนโดยตรง
• การแยกส่วนทางภูมิเศรษฐศาสตร์ (Geo-economic Fragmentation): IMF แสดงความกังวลต่อการแบ่งแยกภูมิทางเศรษฐกิจโลก ซึ่งกำลังเปลี่ยนแปลงโครงสร้างและทิศทางการค้า
• เงินดอลลาร์อ่อนค่า: เป็นปัจจัยบวกต่อประเทศตลาดเกิดใหม่ โดยเฉพาะประเทศที่มีหนี้เป็นสกุลเงินดอลลาร์
• ไนจีเรีย: แนวโน้มเติบโตดีขึ้นจากความไม่แน่นอนที่ลดลงและราคาพลังงานที่สูงขึ้น
• ฟองสบู่เทคโนโลยี: IMF ไม่ยืนยันว่าจะเกิดขึ้น แต่เตือนว่าตลาดเทคโนโลยีมีความร้อนแรงและอาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญต่อระบบการเงิน
• สหราชอาณาจักร: การเติบโตเหนือค่าเฉลี่ย G7 แต่เงินเฟ้อยังสูง
• ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์: ยังคงเป็นความเสี่ยงหลัก โดยเฉพาะผลกระทบต่อราคาพลังงานโลก
• ตะวันออกกลาง: ข้อตกลงสันติภาพล่าสุดเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับการฟื้นตัวเชิงโครงสร้างในภูมิภาค
• นโยบายของจีน: IMF เรียกร้องให้จีนปรับสมดุลรูปแบบการเติบโตสู่การบริโภคภายในประเทศเพื่อลดความเปราะบาง
• แอฟริกาใต้สะฮารา: การเติบโตถูกปรับเพิ่มขึ้น สะท้อนการฟื้นตัวของเสถียรภาพมหภาคและความคืบหน้าในการปฏิรูป
5. ข้อสังเกตเชิงนโยบาย
1. โลกกำลังอยู่ในภาวะ “ฟื้นตัวเปราะบาง” - การเติบโตระดับ 3.2% ไม่เพียงพอที่จะลดช่องว่างรายได้และชดเชยผลกระทบจากการแยกส่วนภูมิเศรษฐกิจโลก
2. Trade & Tech จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ - หากความตึงเครียดทางการค้าลดลงและการลงทุนใน AI สามารถนำไปสู่ผลิตภาพจริง ไม่ใช่ฟองสบู่ ผลกระทบเชิงบวกจะมีนัยสำคัญ
3. การบริหารความเสี่ยงเชิงมหภาคมีความสำคัญยิ่ง - ความเปราะบางด้านการคลังและแรงกดดันต่อธนาคารกลางอาจทำให้หลายประเทศเผชิญข้อจำกัดด้านนโยบายมากขึ้น
สรุป: IMF มองว่าเศรษฐกิจโลกปี 2025 จะยังคง “ขยายตัวอย่างจำกัด” ท่ามกลางความตึงเครียดทางภูมิเศรษฐกิจและความไม่แน่นอนด้านเทคโนโลยีและนโยบาย แต่ก็ยังมีโอกาสเชิงบวก หากประเทศต่าง ๆ สามารถลดความไม่แน่นอน สร้างพื้นที่นโยบาย และขับเคลื่อนนโยบายการลงทุนเพื่ออนาคตได้อย่างเป็นระบบ