ข่าวคุณภาพชีวิต

"ไข้รากสาดใหญ่" ระบาด 74 จังหวัด คร่าชีวิต 6 ราย กรมควบคุมโรค เตือน เที่ยวป่าถูก "ไรอ่อนกัด" เสี่ยงถึงชีวิต

แชร์ข่าว

วันที่ 18 ตุลาคม 2568 ที่กระทรวงสาธารณสุข ภายใต้นโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายพัฒนา พร้อมพัฒน์ ที่มุ่งเน้นให้ประชาชนมีความรอบรู้ด้านสุขภาพและสามารถป้องกันโรคได้ด้วยตนเอง กรมควบคุมโรค โดยกองโรคติดต่อนำโดยแมลง จึงขอแจ้งเตือนประชาชน โดยเฉพาะผู้ที่ชื่นชอบการเดินป่าหรือท่องเที่ยวธรรมชาติให้ระวัง "โรคไข้รากสาดใหญ่" หรือ โรคสครับไทฟัส (Scrub Typhus)

นายแพทย์มณเฑียร คณาสวัสดิ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ในช่วงปลายฝนต้นหนาวนี้อากาศตามแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติเริ่มเย็นลง ทำให้ประชาชนมักเดินทางไปท่องเที่ยวตามป่าเขาและกางเต็นท์นอนเพื่อชมหมอกหรือสัมผัสอากาศหนาว ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงที่จะถูกตัวไรอ่อนที่อาศัยอยู่ในป่ากัดและติดเชื้อจนป่วยเป็นโรคสครับไทฟัสได้

สำหรับสถานการณ์โรคไข้รากสาดใหญ่ในประเทศไทย ข้อมูลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 15 ตุลาคม 2568 พบผู้ป่วยสะสมแล้วถึง 7,055 ราย คิดเป็นอัตราป่วย 10.66 ต่อประชากรแสนคน โดยมีการกระจายตัวของโรคในพื้นที่ 74 จังหวัด และพบผู้ป่วยมากที่สุดบริเวณภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จังหวัดที่มีผู้ป่วยสะสมสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ เชียงใหม่, เชียงราย, แม่ฮ่องสอน, อุบลราชธานี, และตาก ผู้ป่วยส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มวัยทำงานที่ประกอบอาชีพเกษตรกรและรับจ้างทั่วไป นอกจากนี้ ในปี พ.ศ. 2568 ประเทศไทยยังพบผู้เสียชีวิตด้วยโรคไข้รากสาดใหญ่รวมทั้งสิ้น 6 ราย คิดเป็นอัตราป่วยตายร้อยละ 0.09

โรคไข้รากสาดใหญ่เกิดจากการถูกตัวไรอ่อนที่มีเชื้อกัด โดยตัวไรอ่อนมีขนาดเล็กมากจนอาจมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า มักอาศัยอยู่ตามใบไม้หรือใบหญ้าใกล้กับพื้นดิน และไต่ไปตามยอดหญ้าเพื่อเกาะตามเสื้อผ้าของผู้ที่เดินผ่าน เมื่อถูกกัด เชื้อจะเข้าสู่ร่างกายผ่านบาดแผลบริเวณผิวหนัง บริเวณที่มักถูกตัวไรอ่อนกัดคือ รักแร้ ขาหนีบ และรอบเอว

หากถูกตัวไรอ่อนที่มีเชื้อกัดประมาณ 10 - 12 วัน ผู้ป่วยจะมีอาการไข้สูง ปวดศีรษะ ตาแดง ปวดเมื่อยตัว และอ่อนเพลีย บริเวณที่ถูกกัดอาจมีผื่นแดงขนาดเล็กค่อย ๆ นูนหรือใหญ่ขึ้น ที่สำคัญ อาจจะพบแผลคล้ายบุหรี่จี้ (Eschar) ซึ่งแผลดังกล่าวจะไม่ปวดและไม่คัน แม้ผู้ป่วยบางรายอาจหายได้เอง แต่บางรายอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น ปอดอักเสบ เยื่อหุ้มสมองและสมองอักเสบ ซึ่งอาจทำให้เสียชีวิตได้

กรมควบคุมโรคจึงขอแนะนำประชาชนที่วางแผนเดินทางท่องเที่ยวและกางเต็นท์นอนในป่า ควรสวมเสื้อผ้าให้มิดชิด เช่น เสื้อแขนยาว กางเกงขายาว และควรใช้สเปรย์หรือโลชั่นกันแมลงที่มีส่วนผสมของสาร DEET 20-30% เพื่อป้องกันการถูกไรอ่อนกัด นอกจากนี้ ควรงดนั่งหรือนอนบนพื้นหญ้าโดยตรง และหลีกเลี่ยงการเข้าไปในบริเวณที่เป็นแหล่งอาศัยของตัวไรอ่อน เช่น ป่าละเมาะ ทุ่งหญ้าชายป่า หรือบริเวณต้นไม้ใหญ่ที่แสงแดดส่องไม่ถึง

หลังจากกลับจากป่าแล้ว ควรรีบอาบน้ำทำความสะอาดร่างกายและสระผม รวมถึงสำรวจร่างกายตนเองว่ามีผื่น แผล หรือแมลงเกาะตามตัวหรือไม่ และให้นำเสื้อผ้าที่สวมใส่มาซักทำความสะอาดด้วยผงซักฟอกเข้มข้นทันที เนื่องจากอาจมีตัวไรอ่อนติดมากับร่างกายหรือเสื้อผ้าได้

กรมควบคุมโรคย้ำเตือนว่า ภายหลังจากกลับจากเที่ยวป่าหรือกางเต็นท์ภายใน 2 สัปดาห์ หากมีอาการป่วย มีไข้สูง ปวดศีรษะ หรือตรวจพบสะเก็ดแผลที่มีรอยไหม้คล้ายถูกบุหรี่จี้ที่ผิวหนัง ขอให้นึกถึงโรคนี้ และควรรีบไปพบแพทย์ทันที พร้อมแจ้งประวัติการเข้าไปในป่า เพื่อรับการรักษาอย่างรวดเร็วและป้องกันการเสียชีวิต หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติม สามารถสอบถามได้ที่ สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร.1422

ข่าวแนะนำ