วันที่ 17 ตุลาคม 2568 ที่โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า จังหวัดนนทบุรี นายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ได้กล่าวถึงแนวทางการพัฒนาระบบสาธารณสุขของประเทศไทย โดยระบุว่า โครงการ "หมอไม่ล้า ประชาชนไม่รอ เชื่อมต่อทุกบริการผ่านเทคโนโลยี" เป็นหนึ่งในโครงการสำคัญที่เริ่มต้นขึ้นเพื่อยกระดับเทคโนโลยีในการให้บริการด้านสุขภาพแก่ประชาชน
กระทรวงสาธารณสุขได้ดำเนินการปรับปรุงระบบการให้บริการอย่างต่อเนื่อง และปัจจุบันได้มีการนำเทคโนโลยีที่สำคัญมาใช้แล้ว อาทิ แอปพลิเคชันหมอพลัส, ปัญญาประดิษฐ์ MOPH Ai, ระบบบริหารเชิงยุทธศาสตร์ (ERP) และการประเมินผลออนไลน์ (CRM) ความคืบหน้าดังกล่าวส่งผลให้ปัจจุบันประเทศไทยมีโรงพยาบาลอัจฉริยะระดับเพชรแล้ว 235 แห่งทั่วประเทศ นอกจากนี้ สธ. ยังได้เตรียมความพร้อมด้านบุคลากร โดยมีบุคลากรแกนนำการเปลี่ยนผ่านดิจิทัลจำนวน 77 คน และบุคลากรที่ได้รับการพัฒนาทักษะดิจิทัลแล้วกว่า 28,000 คน
ในการนำร่องโครงการ "หมอไม่ล้า ประชาชนไม่รอ" ที่โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า พบว่าโครงการนี้ช่วยอำนวยความสะดวกอย่างมากแก่ประชาชนที่ลงทะเบียนออนไลน์ และลงทะเบียนผู้ป่วยใหม่นัดหมายออนไลน์จากที่บ้าน ซึ่งสามารถลดเวลาได้กว่า 50 นาที โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของการติดตามคิวตรวจแบบเรียลไทม์และการรับผลตรวจผ่านมือถือ นายพัฒนาเน้นย้ำว่า โครงการดังกล่าวจะมีการขยายผลต่อไปยังเขตสุขภาพที่ 4 ในโรงพยาบาลทุกระดับ เพื่อเพิ่มการเข้าถึงและสร้างความสะดวกสบายให้แก่ประชาชนในวงกว้าง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขยังได้เปิดเผยถึงภาพรวมของประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นจากการนำเทคโนโลยีมาใช้ โดยกล่าวว่า จากการเก็บข้อมูลในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา คนไข้หนึ่งคนเคยใช้เวลาพบแพทย์กว่า 200 นาที แต่เมื่อมีการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยบริหารจัดการอย่างเต็มที่ในปัจจุบัน สามารถลดเวลาลงเหลือประมาณ 120 นาทีต่อคน และมีแนวโน้มว่าจะบริหารจัดการเพื่อลดเวลาลงได้อีก การขยายโครงการนี้ไปสู่จังหวัดต่าง ๆ จะช่วยให้ประชาชนไม่ต้องลางานเป็นเวลานานเพื่อมาโรงพยาบาล และไม่ต้องอดทนอยู่ในสภาพความแออัดของโรงพยาบาลเป็นเวลานาน ซึ่งคาดว่าจะช่วยสร้างความรู้สึกที่ดีให้กับประชาชนได้อย่างมีนัยสำคัญ
สำหรับทิศทางในอนาคต กระทรวงสาธารณสุขได้กำหนดนโยบายดิจิทัลในปี 2569 ไว้ 3 มิติหลัก ได้แก่ 1. ยกระดับโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ขยายโรงพยาบาลอัจฉริยะ พัฒนาแอปพลิเคชันหมอพร้อม และเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพทั่วประเทศอย่างมั่นคงและปลอดภัย 2. ขับเคลื่อนการแพทย์แม่นยำ โดยใช้ปัญญาประดิษฐ์ (ai) ในการวิเคราะห์ข้อมูลสุขภาพเพื่อพยากรณ์ความเสี่ยง และให้คำแนะนำเฉพาะบุคคล และ 3. สร้างสุขภาพวะที่เข้าถึงง่าย เพื่อให้ประชาชนเป็นเจ้าของข้อมูลสุขภาพของตนเอง สามารถจัดการข้อมูลได้สะดวก โปร่งใส และลดช่องว่างการบริการ
นายพัฒนากล่าวเสริมว่า สธ. ได้เตรียมความพร้อมในเรื่องฐานข้อมูลผู้ใช้บริการในสถานพยาบาล เช่น ข้อมูลการนัดหมายออนไลน์, การรับยา, การแพ้ยา รวมถึงข้อมูลทางการแพทย์ ซึ่งประชาชนสามารถเรียกใช้ข้อมูลดังกล่าวได้สะดวกในกรณีต่าง ๆ เช่น การเปลี่ยนโรงพยาบาล การพบแพทย์ หรือการส่งตัวไปยังโรงพยาบาลต่าง ๆ ในขอบข่ายของกระทรวงสาธารณสุข
นอกจากนี้ นายพัฒนา พร้อมพัฒน์ ยังได้กล่าวถึงกรณีปัญหาหนี้สินระหว่างโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ซึ่งส่งผลให้โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะต้องยกเลิกการใช้สิทธิ์บัตรทองชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ 16 ตุลาคมที่ผ่านมา ปัญหานี้ทำให้คนไข้สิทธิ์บัตรทองในโรงพยาบาลดังกล่าว กว่า 40,000 คน ต้องจ่ายเงินค่ารักษาเองในราคารัฐบาล หรือจำเป็นต้องย้ายสิทธิ์ไปรักษาโรงพยาบาลอื่น นายพัฒนากล่าวว่า ตนไม่ได้นิ่งนอนใจและกำลังเร่งแก้ปัญหาในการให้บริการอยู่ จากการรายงานที่ได้รับทราบ อาจจะเป็นเรื่องของความคลาดเคลื่อนและการถกเถียงกันในประเด็นข้อมูลต่าง ๆ ที่มีการพูดคุยกันอย่างต่อเนื่อง ประเด็นที่หารือร่วมกันได้ก็เข้าใจว่าได้ดำเนินการแล้ว ส่วนประเด็นที่มีข้อจำกัดหรือมีความคิดเห็นไม่ตรงกัน กระทรวงสาธารณสุขและรัฐบาลจะพยายามเข้าไปช่วยแก้ปัญหา พร้อมยืนยันว่า สปสช. ไม่ได้นิ่งนอนใจในการแก้ปัญหาดังกล่าว