เมื่อวันที่ 16 ต.ค.68 สำนักข่าว CNBC รายงานว่า เนสท์เล่ (Nestlé) บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านสินค้าอุปโภคบริโภคจากเมืองเวอเวย์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ได้เปิดเผยเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาถึงแผนกลยุทธ์เพื่อเร่งการฟื้นตัวของธุรกิจภายใต้การนำของ "ฟิลิปป์ นาวราทิล" ซีอีโอคนใหม่ โดยบริษัทจะมีการปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่ รวมถึงการปรับตำแหน่งงานและการนำระบบอัตโนมัติมาใช้ในสำนักงานมากขึ้น
การประกาศดังกล่าวมีขึ้นในขณะที่เนสท์เล่ตกอยู่ภายใต้แรงกดดันจากนักลงทุน เนื่องจากผลประกอบการของบริษัทตามหลังคู่แข่ง
เนสท์เล่เปิดเผยว่า เตรียมปลดพนักงาน 16,000 ตำแหน่ง ทั่วโลก แบ่งเป็นพนักงานออฟฟิศ 12,000 ตำแหน่ง และในโรงงานผลิตสินค้า 4,000 ตำแหน่ง ภายในสองปีข้างหน้า เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพการดำเนินงาน

นาวราทิล กล่าวในรายงานผลประกอบการว่า เรากำลังปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงาน โดยกลยุทธ์นี้รวมถึงการพัฒนาและปรับปรุงองค์กรให้เรียบง่ายขึ้น และทำให้กระบวนการต่างๆ เป็นระบบอัตโนมัติ
เป็นเรื่องน่าประหลาดใจที่เนสท์เล่วางแผนที่จะนำระบบอัตโนมัติมาใช้ในสำนักงานมากขึ้น อย่างไรก็ตาม เคียรา วัลซานเกียโคโม โฆษกของบริษัท ให้ความเห็นว่า โครงการนี้ “ชาญฉลาดกว่า” การแทนที่ตำแหน่งงานด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI)
จอน ค็อกซ์ หัวหน้าทีมผู้บริโภคยุโรปของ Kepler Cheuvreux ให้ความเห็นต่อกลยุทธ์ของบริษัทที่มุ่งเน้นไปที่ "ผู้ชนะ" และการพลิกฟื้นธุรกิจที่ "แพ้" ว่ามีประโยชน์มากกว่าการรอคอยไตรมาสที่ย่ำแย่
ในด้านผลประกอบการทางการเงิน เนสท์เล่รายงานว่า ในไตรมาสที่สาม บริษัทมีอัตราการเติบโตจากการดำเนินงานปกติ (Organic Growth) ที่สูงขึ้นที่ 4.3% โดยความท้าทายที่บริษัทต้องเผชิญคือ มาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ และราคาวัตถุดิบที่สูงขึ้น เช่น โกโก้และเมล็ดกาแฟ
ที่สำคัญคือ การเติบโตภายในที่แท้จริง (Real Internal Growth หรือ RIG) ได้กลับมาอยู่ในแดนบวก โดยเพิ่มขึ้น 1.5% ในไตรมาสที่สาม การกลับมาของ RIG ครั้งนี้ได้รับแรงหนุนจากการเปรียบเทียบที่ง่ายขึ้น ก่อนหน้านี้ ความผิดพลาดของ RIG ในไตรมาสที่สองส่งผลให้หุ้นเนสท์เล่มีผลประกอบการต่ำกว่าคาดอย่างมาก
นอกจากนี้ ภายใต้การนำของ ลอเรนต์ ไฟรซ์ ซีอีโอคนก่อน เนสท์เล่ได้ประกาศโครงการมูลค่า 2.5 พันล้านฟรังก์สวิส (3.14 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ไปแล้ว และปัจจุบันโครงการนี้ได้รับการเร่งตัวขึ้นเป็น 3 ล้านล้านฟรังก์ภายในสิ้นปี 2570
อย่างไรก็ตาม ธุรกิจในจีนแผ่นดินใหญ่ยังคงมีผลประกอบการต่ำกว่าคาด โดยการเติบโตแบบออร์แกนิกของภูมิภาคติดลบ 80 จุดพื้นฐาน และ RIG ติดลบ 40 จุดพื้นฐาน เนสท์เล่กล่าวเสริมว่า "ขณะนี้มีผู้บริหารชุดใหม่และได้ดำเนินการตามแผนปฏิรูปธุรกิจแล้ว" ในจีน
ราคาหุ้นเนสท์เล่ปิดตลาดสูงขึ้นถึง 9.3% ในวันพฤหัสบดี การพุ่งขึ้นของราคาหุ้นครั้งนี้ช่วยหนุนภาคธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มของยุโรป ซึ่งปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่า 4.2% ในช่วงท้ายตลาด
จอน ค็อกซ์ แห่ง Kepler Cheuvreux คาดว่าหุ้นจะตอบรับเชิงบวกอย่างมาก โดยเขากล่าวว่า โดยรวมแล้ว ดูเหมือนว่าการดำเนินงานของบริษัทได้พลิกกลับมามีผลประกอบการที่ดีที่สุด แม้ว่าราคาหุ้นของบริษัทจะร่วงลงมากกว่า 40% นับตั้งแต่เปิดตัวในเดือนธันวาคม 2564 และลดลง 9% ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา