เวลานี้ “รัฐบาลกัมพูชา” เสมือนตกอยู่ในวงล้อมจาก นานาประเทศที่ต่างพุ่งเป้ากดดัน ให้กัมพูชาเร่งแก้ไขปัญหาการหลอกลวงทางออนไลน์ จนกลายเป็นอาชญากรรมข้ามชาติ เกิดความเสียหายทั้งในแง่ทรัพย์สินและชีวิตของเหยื่อจากหลายประเทศ ซึ่งกลายเป็นข่าวครึกโครม
การเสียชีวิตของ “พัค มิน โฮ” นักศึกษาชาวเกาหลีใต้วัย 22 ปี ที่ถูกทรมานในกัมพูชาจนเสียชีวิต หลังจากที่ถูกหลอก และบังคับให้ไปทำงานส่งยาเสพติดจากนั้นมีรายงานว่า พัค มิน โฮ ถูกขายให้กับแก๊งอาชญากร และถูกทุบตีจนบาดเจ็บสาหัส กระทั่งเสียชีวิต เมื่อเดือนส.ค.ที่ผ่านา และสุดท้ายกลายเป็นประเด็นใหญ่ เมื่อทางการเกาหลี ไม่ได้นิ่งนอนใจ
ล่าสุดเกาหลี ส่ง “คิม จิน อา” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ คนที่ 2 พร้อมด้วยคณะทำงานชุดพิเศษ บินด่วนมากัมพูชา เมื่อวันที่ 15 ต.ค. เพื่อดำเนินการสอบสวนคดีและหารือเรื่องการสอบสวนร่วม กับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกัมพูชา
และไม่ใช่เพียงแค่เกาหลีเท่านั้นที่ขยับ แต่ในห้วงเวลาเดียวกันปรากฎว่า อังกฤษและสหรัฐฯ เองได้เปิดฉาก ใช้มาตรการคว่ำบาตร “Prince Group” เครือข่ายสแกมเมอร์ข้ามชาติ ในกัมพพูชา เมื่อวันที่ 14 ต.ค.ที่ผ่านมา
โดยกล่าวหาว่าเป็น “เครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ” ฉ้อโกงเหยื่อทั่วโลกและแสวงหาผลประโยชน์จากแรงงานที่ถูกค้ามนุษย์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แล้วนำเงินสกปรกเหล่านั้นไปซื้ออสังหาริมทรัพย์ เพื่อฟอกเงิน
ทางด้านสหรัฐฯ ยังยึดทรัพย์สิน “เฉิน จื้อ” ซีอีโอ ปริ้นซ์กรุ๊ป มูลค่ากว่า 14,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในรูปของบิตคอยน์ และตั้งข้อหาเฉิน ฐานฉ้อโกงทางการเงินและสมรู้ร่วมคิดฟอกเงิน ขณะนี้เจ้าตัวยังอยู่ระหว่างการหลบหนี
ทั้งนี้ เฉิน จื้อ หรือ วินเซนต์ วัย 38 ปี เป็นชาวจีน ถือ 2 สัญชาติ คือ สหราชอาณาจักรและกัมพูชา และยังที่ปรึกษาของ ฮุน เซน ประธานวุฒิ สภากัมพูชา และที่ปรึกษาของ ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา
เมื่อโลกกำลังขยับ “ล้อม” กัมพูชา โดยเฉพาะระบอบฮุนเซน ด้วยการกระชับพื้นที่ “สแกมเมอร์” แก๊งค์คอลเซอร์ ซึ่งถูกจับตาว่านี่คือ “ท่อน้ำเลี้ยง” ของครอบครัวฮุน เซน แต่ปรากฏว่า รัฐบาลไทย ถูกตั้งคำถามว่า เหตุใด “นายกฯอนุทิน ชาญวีรกูล” จึง เคลื่อนไหวล่าช้ามากกว่าที่ควรจะเป็น ?!
ทั้งที่ปัญหาแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ คืออาชญากรรมข้ามชาติ เป็นภัยร้ายแรงที่คุกคามทั้งชีวิตและทรัพย์สิน ของคนไทย ซึ่งรัฐบาล “แพทองธาร” เคยประกาศให้เป็นวาระแห่งชาติมาแล้ว แม้จะมีขึ้นในท่ามกลางเสียงโจมตีและความไม่เชื่อมั่นว่าจะแก้ปัญหาได้จริง เมื่อครอบครัวชินวัตร เคยมีความสนิทสนมกับครอบครัวฮุน เซน
แต่เมื่อเปลี่ยนรัฐบาลใหม่ จากเพื่อไทยมาเป็น พรรคภูมิใจไทย หลายคนมีความหวังว่าทางการไทย จะเดินเกม “รุก” เพราะอย่างน้อยนี่อาจเป็น “โอกาส” ที่รัฐบาลไทย จะร่วมล้อมกัมพูชาไปพร้อมโลก
กลายเป็นว่า พรรคฝ่ายค้าน ทั้งพรรคประชาชนและพรรคเพื่อไทย ต่างออกมาเรียกร้องให้ นายกฯอนุทิน ออกมาจัดการปัญหาสแกมเมอร์ในประเทศกัมพูชา เหมือนกับที่นานาชาติกำลังกดดันกัมพูชา ไม่ว่าจะเป็น สหรัฐอเมริกา เกาหลีใต้ และอังกฤษ
“ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์” สส.กทม.พรรคเพื่อไทย ถามรัฐบาล กลางสภาฯ วันนี้ว่าทำไม รัฐบาลนายกฯอนุทิน จึงแทบไม่เคลื่อนไหวต่อเรื่องนี้ เพราะเหตุใดทำไมเราไม่เห็นท่าทีของรัฐบาลที่จะแก้ไขเรื่องนี้
" ท่านควรจะต้องออกมารับรู้ รับทราบปัญหาและชี้แจงกับประชาชนได้ทราบว่าจะจัดการกับปัญหาเหล่านี้อย่างไร เพราะประเทศต่างๆ ได้อพยพพลเมืองของพวกเขากลับประเทศโดยด่วน จากประเทศกัมพูชา
เช่น เกาหลีใต้ที่ได้ใช้ยาแรงในการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ แต่แปลกใจว่ารัฐบาลไทยเงียบมาก เงียบกริบ ไม่ได้พูด และไม่ได้กระดิกในเรื่องนี้เลย จึงทำให้ตนอดสงสัยไม่ได้ว่า รัฐบาลชุดนี้มีส่วนรู้เห็น หรือช่วยเปิดทางให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์หรือสแกมเมอร์ เข้ามาหลอกลวงพี่น้องประชาชนคนไทยหรือไม่”
โดยก่อนหน้านี้ “รังสิมันต์ โรม” สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน อภิปรายในสภา ระบุว่า คนที่เกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์อาจเกี่ยวข้องกับรองนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลอนุทิน ยิ่งนายกรัฐมนตรีช้าหรือนิ่งนอนใจในเรื่องนี้มากเท่าไหร่ก็จะเป็นการแสดงออกให้สังคมเห็นว่านายกฯ ใส่เกียร์ว่างไม่จัดการคนของตัวเอง ที่มีข้อวิพากษ์วิจารณ์ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับแก๊งอาชญากรรมข้ามชาติ ยิ่งทำเร็วได้เท่าไหร่ก็ยิ่งสร้างความโปร่งใส ว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับรัฐบาลนี้
จนในที่สุด นายกฯอนุทิน ได้ลงนามมีคำสั่ง สำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 341/2568 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เมื่อวันที่ 15 ต.ค. โดยมีนายกฯเป็นประธาน
ปรากฏว่าการขยับของรัฐบาลไทย ด้วยการตั้ง “ซูเปอร์บอร์ด” กลับไม่ตอบโจทย์นัก เมื่อ “ชุติพงศ์ พิภพภิญโญชุติพงศ์” สส.ระยอง พรรคประชาชน ในฐานะเลขานุการคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร ยังไม่เชื่อมั่นว่าคณะกรรมการฯที่ตั้งขึ้นมานี้ จะทำอะไรได้จริงจังในการแก้ปัญหาทั้งในและนอกประเทศ
“ ต้องถามกันตรงๆ นายอนุทินเกรงใจใครอยู่หรือไม่ หรือกังวลอะไรอยู่ เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ใกล้กับคนไทย ดูดเงินจากกระเป๋าคนไทยไปเป็นแสนล้าน และเข้ามาอยู่ใกล้ศูนย์กลางอำนาจรัฐ ขนาดนี้ยังต้องรออะไร หรือรอซูเปอร์บอร์ด ประชุมอีกกี่ครั้ง”
การตั้งซูเปอร์บอร์ด เพื่อแก้ปัญหาสแกมเมอร์ ของนายกฯอนุทิน อาจไม่ใช่ “คำตอบ” ที่ทำให้รัฐบาลได้รับความไว้วางใจ นอกสภาฯ โดยที่ยังไม่จำเป็นที่ “ฝ่ายค้าน” จะหยิบยกไปใช้ยื่นญัตติซักฟอก รัฐบาล ด้วยซ้ำ
และดูเหมือนว่า แนวรับ ของ “ฝ่ายการเมือง”โดย พรรคภูมิใจไทย พรรคร่วมฯ ตลอดจนนายกฯอนุทิน จะอ่อนแรงกว่า แนวรบ “การต่างประเทศ” และ “กองทัพ” ซึ่งต่างเป็น “คนนอก” มีความโดดเด่นและชัดเจน ในบทบาทของตัวเอง !