นัด ปชช. 20 ต.ค. แสดงพลังหน้า กต. จี้โชว์เอกภาพเลื่อนเจรจา JBC ไม่มีกำหนด รอจนกว่าผลักดันรุกดินแดนไทยยุติ ย้ำเลิก MOU 43 ลั่นแจงกัมพูชาละเมิดกว่า 600 ครั้ง บี้นายกฯ ปราบพวกคอลฯ-สแกมเมอร์หลอกลวงเด็ดขาด
วันที่ 16 ต.ค.68 นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์รายการประเทศไทยต้องมาก่อน โดยระบุว่า...
ไทยต้องใจแข็งโชว์เอกภาพเลื่อนการประชุม JBC เพื่อเจรจาปักปันเขตแดนไทย-กัมพูชา ออกไปอย่างไม่มีกำหนด จนกว่าการผลักดันกัมพูชารุกล้ำดินแดนไทยเป็นที่ยุติ
ดังนั้น ในวันที่ 20 ต.ค. นี้ คณะรวมพลังแผ่นดินจะไปกระทรวงต่างประเทศไทย (กต.) เพื่อยื่นหนังสือเรียกร้องให้ยกเลิกประชุม JBC ซึ่งจะมีขึ้นวันที่ 21-22 ต.ค.นี้ออกไปก่อน เพราะในสถานการณ์กองทัพผลักดันชาวกัมพูชารุกล้ำดินแดนไทยนั้นทำให้การประชุม RBC ระดับกองทัพภาค 1-2 ถูกเลื่อนไม่มีกำหนด ดังนั้น แม้มีการประชุม JBC แต่ไม่น่ามีผลอะไรตามมา
นอกจากนี้ คณะรวมพลังแผ่นดิน ยังเรียกร้องให้ยกเลิก MOU 43 แล้วใช้กฎหมายระหว่างประเทศที่ต้องแจ้งยกเลิกใน 3 เดือน อีกอย่างตั้งแต่มีการทำ MOU 43 มา กัมพูชาละเมิดข้อตกลงมากกว่า 600 ครั้ง และ กต. ควรเปิดข้อมูลที่ไทยประท้วงการถูกละเมิดเกี่ยวกับกรณีใดบ้าง แล้วผลการประท้วงเป็นเช่นไร
"ถ้า MOU 43 สัมฤทธิ์ผลจริง เราจะเสียดินแดนได้อย่างไร การที่ชาวกัมพูชารุกล้ำดินแดนไทยมาสร้างบ้านอยู่อาศัยโดยทางการไทยไม่ดำเนินการอะไร แสดงว่าเขารุกล้ำดินแดนมายาวนานแต่ทางการไทยทำอะไรไม่ได้ และที่สำคัญไทยได้ไปรุกล้ำแผ่นดินกัมพูชาหรือไม่" นายจตุพร กล่าวและย้ำว่า เมื่อกองทัพประกาศไม่ประชุมกับกัมพูชาแล้ว กต.ควรเดินตามแนวทางนี้ให้สอดคล้องเป็นเอกภาพกัน
ดังนั้น ถ้า กต.ยังยืนกรานจะประชุม JBC แล้ว ขอชวนประชาชนร่วมแสดงพลัง หน้า กต.เวลา 10.00 น. ให้ยกเลิกการประชุมโดยไม่มีกำหนด เพราะไทยควรแสดงออกถึงความเป็นเอกภาพในปัญหาไทย-กัมพูชา
ส่วนการปราบคอลเซนเตอร์และสแกมเมอร์นั้น เมื่อนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกฯ มาเป็นประธานการปราบปรามแล้ว ต้องทำให้เป็นจริงและควรประกาศรายชื่อพวกหลอกลวงที่จะจัดการให้เด็ดขาด และไม่ควรเป็นแค่คำขู่ยื้อเวลาออกไป ทั้งที่สหรัฐเอาจริงสั่งยึดทรัพย์เกือบ 5 แสนล้านบาทของพวกสแกมเมอร์แล้ว และเกาหลีใต้ส่งชุดติดตามนำชาวเกาหลีใต้ที่ถูกพวกคอลเซนเตอร์หลอกกลับประเทศอย่างเร่งรีบ
นายจตุพร กล่าวถึงการแก้ รธน.ว่า เมื่อสภาผ่านวาระแรก และมีมติ 300 ต่อ 287 เสียงใช้ร่างแก้ รธน.ของพรรคประชาชนเป็นหลักในการพิจารณาในวาระ 2 และ 3 ซึ่งกรณีนี้ยังเกี่ยวข้องกับการทำประชามติและจะเป็นอุปสรรคสำคัญ
อย่างไรก็ตาม การแก้ รธน.ยังเป็นวิบากกรรมใหญ่ เพราะไม่ว่าจะมี สสร. มายกร่าง รธน.หรือยึดรูปแบบใดก็ตาม ถ้าไปแตะต้องในกรณีความซื่อสัตย์และมาตรฐานทางจริยธรรมแล้ว คงจะมีปัญหาขัดแย้งตามมาเช่นกัน
"บางเรื่องที่ไม่มีประสิทธิภาพ การแก้ รธน.ต้องทำให้มีประสิทธิภาพ แต่อย่าไปตัดคุณสมบัติต้องห้าม เพราะบ้านเมืองเราก็เห็นแล้วว่า ประเทศพังจากการทุจริตคอร์รัปชั่น และองค์กรอิสระต่างๆ ที่ทำหน้าที่ (ตรวจสอบ) ยังมีปัญหามากมาย ดังนั้น ถ้ายกเลิกคุณสมบัติความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์และมาตรฐานทางจริยธรรมแล้ว ประชาชนคงไม่พอใจ"
ส่วนปัญหาความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น นายจตุพร กล่าวว่า กว่า 21 ปีมาแล้วการแก้ปัญหายังไม่สัมฤทธิ์ผล กลับมีแต่ความสูญเสียเพิ่มเติมมากมาย จึงมีความสงสัยถึงการเลี้ยงไข้ความรุนแรงเอาไว้
ในขณะที่สภาแต่ละชุดที่ผ่านมาได้ตั้งคณะกรรมาธิการศึกษา แต่ไม่เกิดผลเป็นรูปธรรมใดๆ เลย ดังนั้น ประชาชนเรียกร้องผู้นำฝ่ายค้าน ย่อมเป็นสิทธิ์เพื่อผลักดันให้ยุติความรุนแรงและความไม่สงบให้เป็นผลจริงจัง