ผลการโหวตร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญสร้างแรงสั่นสะเทือนในเชิงยุทธศาสตร์การต่อรองทางการเมือง โดยเฉพาะบทบาทของพรรคเพื่อไทยที่กลายเป็น “ตัวแปรสำคัญ” แม้ร่างของตนเองจะ “ไม่ผ่านการรับหลักการ”
โดยผลการลงมติพบว่า ร่างของพรรคประชาชนได้รับเสียงสนับสนุน 300 เสียง ร่างของพรรคภูมิใจไทยได้รับ 287 เสียง จึงมีมติให้ร่างของพรรคประชาชนเป็น “ร่างหลัก” ที่จะเข้าสู่การพิจารณาในชั้นกรรมาธิการ ขณะที่ร่างของพรรคเพื่อไทย “ถูกคว่ำ” และไม่ผ่านวาระรับหลักการ
แม้สมการทางการเมืองครั้งนี้ เสียงของ ส.ว. ยังคงเป็นตัวแปรสำคัญ เนื่องจากร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญใดก็ตามที่จะผ่านวาระ 1 ได้ ต้องได้รับเสียงสนับสนุนจาก ส.ว. ในสัดส่วนที่เพียงพอ ที่สำคัญ ส.ว. มี “เส้นตาย” ที่ไม่ยอมให้ร่างใดแตะต้อง “หมวด 1–2” หมวดว่าด้วยบททั่วไปและพระมหากษัตริย์ ซึ่งถือเป็นเขตหวงห้ามทางรัฐธรรมนูญ การเคลื่อนไหวของพรรคการเมืองจึงต้องอยู่ในกรอบที่ไม่ทำให้ ส.ว. ถอนการสนับสนุน
ทว่าแม้ร่างของพรรคเพื่อไทยจะไม่ผ่านด่านสว. แต่พรรคเพื่อไทยลงมติไปในทิศทางเดียวกับพรรคประชาชน ขณะที่พรรคภูมิใจไทยซึ่งเป็นเจ้าของร่างคู่แข่งต้องยอมรับผลการโหวตที่เกิดขึ้น
ในภาพรวมการโหวตรับหลักการครั้งนี้ไม่เพียงเป็นการเลือก “ร่างหลัก” ชัยชนะของพรรคประชาชนอาจเป็นเพียงชั่วคราว ที่อาจมีเกมในคณะกรรมาธิการที่จะต้องจับตากันต่อไป
แต่เฉพาะหน้านี้ สะท้อนให้เห็นว่าพรรคเพื่อไทยกำลังแสดงบทบาทใหม่ในสนามการเมืองไทย นอกจากจะทวงแค้นพรรคภูมิใจไทย ยังโชว์บทบาทเด่นชัดในฐานะ “พรรคตัวแปร” แสดงพลังในการต่อรองทางการเมืองที่ภูมิใจไทยประมาทไม่ได้
#เพื่อไทย #โหวตรัฐธรรมนูญ #การเมืองไทย #รัฐสภา #พรรคประชาชน #พรรคภูมิใจไทย