ปลาหมอคางดำ (Blackchin Tilapia) ซึ่งเข้ามารุกรานแหล่งน้ำธรรมชาติของไทยมากว่า 10 ปี กำลังถูกมองว่าเป็นหนึ่งในวิกฤติเชิงนิเวศที่ส่งผลกระทบรุนแรงทั้งต่อความหลากหลายทางชีวภาพและเศรษฐกิจท้องถิ่น พฤติกรรมว่องไว ดุร้าย และการแข่งขันด้านอาหารของปลาชนิดนี้ ทำให้ประชากรสัตว์น้ำพื้นถิ่นลดลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ชาวประมงพื้นบ้านโดยเฉพาะในพื้นที่ชายฝั่งและน้ำกร่อยสูญเสียรายได้และอาชีพไปอย่างต่อเนื่อง
สถานการณ์ดังกล่าวทำให้ภาครัฐต้องยกระดับมาตรการควบคุมจากแนวทางป้องกันสู่การลงมือปฏิบัติอย่างจริงจัง ภายใต้นโยบายที่เรียกว่า “สงครามปลาหมอคางดำ” ของร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมประกาศกร้าว “ถ้าปลาหมอคางดำไม่หมด ก็จะไม่เลิกกำจัด”

นโยบายเชิงรุกนี้วางกรอบการดำเนินงานทั้งในด้านการกำจัด การป้องกันการนำเข้าและเพาะเลี้ยง รวมถึงการฟื้นฟูระบบนิเวศ โดยเน้นความร่วมมือระหว่างหน่วยงานราชการ องค์กรท้องถิ่น นักวิชาการ และชุมชนประมง เพื่อทำงานแบบบูรณาการ ตัวอย่างมาตรการที่เป็นรูปธรรมและสร้างแรงจูงใจแก่ชาวประมงคือโครงการรับซื้อปลาหมอคางดำในราคากระตุ้น เช่น การตั้งราคารับซื้อเพื่อจูงใจให้มีการจับและนำมาจำหน่ายผ่านจุดรับซื้อในพื้นที่วิกฤติอย่างสมุทรสาคร ซึ่งนอกจากจะช่วยลดจำนวนประชากรปลารุกรานแล้ว ยังเป็นช่องทางจัดหารายได้เสริมให้ผู้ได้รับผลกระทบในระยะสั้น
การนำปลาที่จับได้ไปใช้ประโยชน์อย่างครบวงจร ทั้งการแปรรูปเป็นปุ๋ยอินทรีย์ น้ำหมักชีวภาพ หรือปลาป่นสำหรับอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ สร้างมูลค่าเพิ่มกว่า 34 ล้านบาท และการปล่อยปลาผู้ล่ากว่า 1.13 ล้านตัวช่วยฟื้นฟูสมดุลระบบนิเวศ

ความท้าทายของการขับเคลื่อนยุทธการนี้ อยู่ที่ลักษณะชีววิทยาของ “ปลาหมอคางดำ” ที่ขยายพันธุ์รวดเร็ว ทนทาน และปรับตัวได้ดีในหลายสภาพแวดล้อม ทำให้การกำจัดเชิงเดียวอาจไม่ยั่งยืน หากมาตรการขาดความต่อเนื่องหรือการบังคับใช้กฎหมายไม่เข้มแข็ง เสียงจากชาวประมงบางพื้นที่สะท้อนปัญหาความไม่สม่ำเสมอของจุดรับซื้อ การจัดการปลาที่จับได้ยังไม่ครอบคลุม และความหละหลวมในการควบคุมการลักลอบนำเข้าสัตว์น้ำเถื่อน ซึ่งหากไม่ปิดช่องโหว่เหล่านี้ ต้นตอของการระบาดจะยังไม่ถูกจัดการอย่างสิ้นเชิง
เพื่อให้การแก้ไขได้ผลจริง จำเป็นต้องมีการติดตามประเมินผลเชิงวิชาการอย่างต่อเนื่อง เพื่อปรับแนวทางหรือมาตรการตามหลักฐานเชิงพื้นที่และข้อมูลประชากรปลา การลงทุนในงานวิจัย เช่น การศึกษาวงจรชีวิต การกระจายพันธุ์ การทดลองวิธีการควบคุมทางชีวภาพและการออกแบบเครื่องมือจับที่เฉพาะเจาะจง จะช่วยให้การบริหารทรัพยากรมีประสิทธิภาพมากขึ้น พร้อมกันนี้ การสร้างความตระหนักรู้ในวงกว้าง การให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการและประชาชนเกี่ยวกับความเสี่ยงของการนำเข้าสัตว์น้ำต่างถิ่น และการส่งเสริมมาตรการชุมชนเช่นเครือข่ายเฝ้าระวัง จะเป็นเสาหลักในการป้องกันไม่ให้ปัญหาซ้ำรอย

การประกาศให้ปราบปราม “ปลาหมอคางดำ” เป็น “วาระแห่งชาติ” และการตั้งเป้าให้มีการดำเนินการแบบบูรณาการแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของภาครัฐ แต่ความสำเร็จจะขึ้นอยู่กับความร่วมมือเชิงนโยบายและปฏิบัติจากทุกภาคส่วน ทั้งการสนับสนุนงบประมาณอย่างต่อเนื่อง การบังคับใช้กฎหมายที่เข้มแข็ง การเชื่อมโยงงานวิจัยกับการปฏิบัติภาคสนาม และการออกแบบแรงจูงใจที่ยั่งยืนสำหรับชุมชนท้องถิ่น หากสามารถประสานองค์ประกอบเหล่านี้ให้ทำงานร่วมกันได้ ยุทธศาสตร์ภายใต้นโยบายของ ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า มีศักยภาพไม่เพียงจะลดจำนวน “ปลาหมอคางดำ” แต่ยังสามารถฟื้นฟูความมั่นคงของทรัพยากรน้ำและคืนรายได้แก่ชาวประมงไทยได้ในระยะยาว
ความตั้งใจในการกำจัดชนิดพันธุ์รุกรานนี้ จึงไม่ใช่เพียงการแก้ปัญหาเชิงเทคนิค แต่คือการเรียกคืนความสมดุลของนิเวศและความเชื่อมั่นของชุมชนในทรัพยากรของตน