ทวี สุรฤทธิกุล
พรรคภูมิใจไทยทำท่าว่าจะ “ใหญ่คับฟ้า” แต่อาจจะ “ดับคาดิน” ก็ได้ถ้า “ย่ามใจ” จนเกินไป
เมื่อ พ.ศ. 2547 ในช่วงที่ “ทักษิณครองเมือง” อดีตนายกรัฐมนตรีนักโทษชายที่กำลังถูกจำขังอยู่ขณะนี้ ขณะนั้นกำลังมีอำนาจมหาศาล และกำลังดำเนินยุทธศาสตร์ที่จะสร้างพรรคไทยรักไทยให้เป็น “อภิมหาพรรค” เพื่อหวังจะ “ครองฟ้าครองแผ่นดิน” ในการเลือกตั้งปี 2558 ที่ใกล้จะมาถึง ด้วยการ “ดูดกลืน” พรรคอื่น ๆ ในรัฐสภาเข้ามารวมเข้าด้วยกันกับพรรคไทยรักไทยอย่างเมามัน ทั้งด้วยวิธีหว่านล้อมอย่างอ่อนโยน คือเชิญชวนให้มาอยู่ด้วยกันด้วยดี และด้วยวิธีทุบหัวลากตัวเข้ามา คือถ้าพรรคใดแข็งขืนก็จะถูก “ใส่ร้าย” หรือขู่กรรโชกเอาด้วยเล่ห์กลต่าง ๆ จนกระทั่งก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง พรรคไทยรักไทยก็เป็นพรรคที่มีคะแนนเสียงเกือบ 3 ใน 4 ของสภา ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ เพราะการเลือกตั้งในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2548 พรรคไทยได้ ส.ส.ถึง 377 คน จากจำนวน ส.ส.เต็มสภา 500 คน หรือคิดเป็นเกือบ 4 ใน 5 ของรัฐสภานั้น
ในปี 2547 นั่นเอง ผู้เขียนได้เขียนบทความเรื่อง “ยุทธศาสตร์มืด : การสร้างพรรคให้ยิ่งใหญ่ในทางชั่วร้าย” ที่ไม่ได้เขียนถึงพรรคไทยรักไทยโดยตรง (เพราะตอนนั้นใคร ๆ ก็เกรงกลัว “ซาตาน” ที่ครอบงำพรรคการเมืองนี้) แต่ได้ให้ข้อมูลในเชิงประวัติศาสตร์ โดยใช้ข้อเขียนของนักข่าวอาวุโสในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ร่วมกับเนื้อหาในวิทยานิพนธ์ของผู้เขียนเอง ในสมัยที่เรียนปริญญาโท ที่คณะรัฐศาสตร์ จุฬลงกรณ์มหาวิทยาลัย มาเทียบเคียงให้เห็นว่า วิธีการของซาตานตนนั้นที่ทำอยู่ในสภาในปี 2547 ไม่ใช่เรื่องใหม่อะไรเลย เพราะมีคนเคยทำมาแล้วและก็พังมาแล้ว ซึ่งพรรคการเมืองใดที่กำลังทำแบบนั้นก็จะพบกับชะตากรรมเช่นเดียวกัน
บทความของผู้เขียนบรรยายว่า จอมพล ป. พิบูลสงคราม เมื่อได้ขึ้นมามีอำนาจหลังรัฐประหารในปี 2492 ก็มีแนวคิดที่จะสถาปนาระบอบประชาธิปไตยตามแบบของท่าน โดยจะต้องมีผู้นำที่เข้มแข็ง รัฐบาลที่มีประสิทธิภาพ และรัฐสภาที่มีเสถียรภาพ (ว่ากันว่า จอมพล ป.อาจจะได้แบบอย่างมาจากประเทศที่เพิ่งได้รับเอกราชจากมหาอำนาจตะวันตก อย่างเช่น ประเทศพม่าหรืออินโดนีเซีย ที่ใช้ระบอบประชาธิปไตย แต่นำโดยทหารหรือมีทหารค้ำจุน) ท่านจึงให้ลิ่วล้อตั้งพรรคการเมืองขึ้นมา เพื่อที่จะมีการเลือกตั้งภายหลังที่ได้จัดทำรัฐธรรมนูญใหม่เสร็จแล้วใน พ.ศ. 2495 ในชื่อพรรคเสรีมนังคศิลา (ชื่อพระแท่นในสวนตาล ที่พ่อขุนรามคำแหงเสด็จออกในวันธรรมสวนะ เพื่อฟังเทศน์และทำบุญร่วมกับประชาชน นัยว่าเป็นสัญลักษณ์ของ “ความเป็นประชาธิปไตยแบบไทย ๆ” ที่เริ่มต้นในยุคสุโขทัยนั้น) โดยจอมพล ป. เป็นหัวหน้าพรรคเอง และมีพลตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์ เป็นเลขาธิการพรรค การสร้างพรรคก็ทำด้วยวิธีแบบเชิญชวนในระยะแรก แต่ก็โตช้า จึงได้มาใช้วิธีขู่กรรโชกร่วมด้วย ซึ่งในการหาตัวผู้สมัครมาลงเลือกตั้งในนามของพรรคนั้นก็ถึงขั้นที่สื่อมวลชนยุคนั้นบอกว่า “แม้แต่พวกนักเลงหัวไม้หรือเจ้าพ่อกเรวฬาก ถ้าเอาคนมาเลือกตัวเองได้ ก็ให้เอามาเป็นผู้สมัครของพรรค” แต่กระนั้นก็ใช้เวลาเกือบ 5 ปี กว่าจะพร้อมเลือกตั้งในตอนต้นปี 2500 และในการเลือกตั้งครั้งนั้น ทหารที่ครองอำนาจและควบคุมการเลือกตั้งอยู่ก็ใช้กลโกงสารพัดเพื่อเอาชนะเลือกตั้ง เมื่อผลการเลือกตั้งออกมาก็มีการประท้วง นำมาสู่การรัฐประหารในเดือนกันยายน พ.ศ. 2500 ภายใต้การนำของพลเอกสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ในขณะที่ทั้งจอมพล ป.และพลตำรวจเอกเผ่าต้องระเห็จไปตายที่ต่างประเทศ พร้อมกับความฝันที่สูญสลายในการคิดจะสร้างอำนาจให้ยิ่งใหญ่ด้วยพรรคเสรีมนังคศิลานั้น
อีกฉากหนึ่งก็คือในยุคของจอมพลถนอม กิตติขจร ที่ครองอำนาจต่อจากจอมพลสฤษดิ์ ก็อยากจะให้ประเทศไทยเป็นประชาธิปไตย ซึ่งก็มีแนวคิดที่ไม่แตกต่างจากในสมัยจอมพล ป. คือต้องใช้ทหารนำการเมือง จึงจัดให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2511 ออกมา แล้วให้มีการเลือกตั้งใน พ.ศ. 2512 โดยตั้งพรรคสหประชาไทย ตามแบบพรรคเสรีมนังคศิลา คือรวบรวมเอาพวก ส.ส.เก่าจากหลาย ๆ พรรค โดยเฉพาะจากพรรคเสรีมนังคศิลานั่นเองเอาเข้ามาในพรรค แต่ที่มีมากกว่าเดิมก็คือบรรดาผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่น ที่สื่อมวลชนบอกว่าในพรรคสหประชาไทยนี้ “เพ่นพ่านเต็มไปหมด” ที่สุดแม้จะชนะเลือกตั้งได้เสียงข้างมากและได้เป็นรัฐบาล โดยมีจอมพลถนอมเป็นนายกรัฐมนตรีตามแผนการที่วางไว้ แต่ก็อยู่ได้เพียง 2 ปี ก็ต้องยุบสภา เพราะทนความวุ่นวายในสภาและในรัฐบาลไม่ไหว
อีกกรณีหนึ่งของการเป็นพรรคใหญ่ด้วยวิธีการที่ “ไม่ดีงาม” ก็คือพรรคการเมืองในยุคหลังวันมหาวิปโยค 14 ตุลาคม 2516 ที่ปัญญาชนในสมัยเรียกว่าเป็นยุค “ประชาธิปไตยเบ่งบาน” เพราะแต่ละพรรคก็พยายามสร้างพรรคด้วยความ “หน้ามืดตามัว” ไม่สนใจว่าจะได้คนมาเข้าพรรคในลักษณะใด ตัวอย่างเช่น พรรคกิจสังคม ที่ได้ ส.ส.มาในการเลือกตั้งครั้งแรกในปี 2518 เพียง 18 เสียง ได้เพิ่มมาเป็น 45 เสียงในการเลือกตั้งปี 2519 และ 78 คนในปี 2522 กระนั้นแม้จะหลายคนเข้ามาด้วยเชื่อมั่นอุดมการณ์และชื่อเสียงขิงพรรค แต่หลายคนก็เข้ามาแบบน่ารังเกียจ ถึงขั้นที่มีการ “ประมูลตัวเอง - ซื้อพื้นที่” หรือทุ่มเงินให้พรรคเพื่อจะได้ลงเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งต่าง ๆ ซึ่งต่อมาในการเลือกตั้งครั้งต่อ ๆ มาในปี 2526 หรือ 2529 หลาย ๆ พรรคก็มีการประมูลพื้นที่และตัว ส.ส.กันแบบนี้ อย่างเช่นพรรคชาติไทย ที่ได้เป็นพรรคใหญ่ที่สุดใน พ.ศ. 2531 และได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล แต่ในที่สุดก็ถูกรัฐประหารในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2534 ด้วยเหตุที่มีการบริหารราชการที่โกงกินกันอุดลุต อย่างที่มีการตั้งฉายารัฐบาลชุดนั้นว่า “บุฟเฟ่ต์คาบิเนต”
บทความของผู้เขียนในปี 2547 จบลงด้วยการทำนายอนาคตของพรรคไทยรักไทยว่า “จะจบไม่สวย” ถ้าไม่แตกสลาย “ระเบิดไปเอง” ด้วยการทะเลาะเบาะแว้งกันระหว่างก๊กก๊วนต่าง ๆ ในพรรค แบบพรรคกิจสังคมและพรรคชาติไทย ก็ต้องเป็นไปด้วย “ความย่ามใจ” ว่าตนเองนั้นมีอำนาจมหาศาล เพราะความที่เป็นพรรคใหญ่ มีอำนาจครอบครองไปทั้งรัฐสภาและรัฐบาล อย่างที่ทหารในยุคจอมพล ป.และจอมพล.ถนอม ได้คิดฝัน ซึ่ง “ความย่ามใจ”นี้เป็นพื้นฐานความคิดที่อยู่ตรงข้ามกับระบอบประชาธิปไตยโดยแท้
“ความย่ามใจ” คือความเชื่อที่ว่าตัวเองยิ่งใหญ่เหนือใคร ๆ ซึ่งในทางการเมืองก็มีความหมายไปถึงความเชื่อที่ว่า ตนเองนั้นมีอำนาจ “ยิ่งใหญ่ที่สุดในแผ่นดิน” นั้นด้วย สุดท้ายก็นำมาซึ่งหายนะแก่ชีวิตทั้งของตนเองและบ้านเมืองนั้น
วันนี้ถ้า “หนู” อย่างคุณอนุทิน ชาญวีระกูล ยังเจียมเนื้อเจียมตัว ไม่คิดทำตัวเป็นราชสีห์ ก็คงจะรักษาตัวรอดไปได้ แต่ถ้าคิดจะเป็นราชสีห์ที่ยิ่งใหญ่กว่าสัตว์ทุกตัวในป่านี้ ก็โปรดอ่านบทความนี้ทบทวนดูอีกที
โปรดดู “สัตว์ตัวหนึ่ง” ที่คิดว่าตัวเองเป็น “เจ้าป่า” เหนือใคร ตอนนี้ก็ถูกกักขังอยู่ในกรง ไม่ต่างอะไรกับเดรัจฉานที่ต้องไปอยู่ในนรกในที่สุดนั้น !