ปากกา / สกุล บุณยทัต
“...เมื่อสังคมเงียบงันใน “ความเงียบซ้อนความเงียบ” สังคมโลกย่อมพลิกผัน “ขั้วต่าง” แห่งเจตจำนงของชีวิต...อยู่เสมอ...ไม่มีใครรู้ถึงความเป็นไปอันจริงแท้ของหัวใจใคร...และยิ่งเวลาผ่านไปเนิ่นนานมากเท่าไหร่...ชีวิตของแต่ละคน...ก็ยิ่งจะมีวิถีสู่อนาคต...ที่ผิดแผกแตกต่างกันมากยิ่งขึ้น...นั่นคือขณะหนึ่งของลมหายใจที่ทิ้งตัวลงนอนทอดยาว...พร้อม ๆ กับสงครามในหัวใจที่ค่อย ๆ เกิดขึ้น พร้อมกับการบดขยี้ วิถีธรรมอันเป็นสัจจะให้สูญสิ้นลง...!”
ดูเหมือนว่าสงครามแห่งความบาดหมางทางอุดมการณ์เมื่อครั้งกระนั้น...จะสูญสิ้นและถูกลบเลือนลงจากความทรงจำไปอย่างสิ้นท่า...มันเหลือเพียงเป็น “ไอดิน” ที่ถูกเหยียบย่ำอยู่ซ้ำ ๆ...
...ผู้คนบางผู้คนและประวัติศาสตร์แห่งการกระทำของเขาถูกย่ำจม...ลงไปจนยากจะ “ตื่นฟื้น...คืนกลับ...”
ความโศกเศร้าแห่ง อยุติธรรม...สลัดใบร่วงหล่นลง...คราแล้วคราเล่า...นั่นคือ “อุบัติการณ์แสนอัปยศ”...ที่ครอบงำตัวตนแห่งการมีชีวิตอยู่ของเรา...อย่างอึดอัด และน่าหวั่นไหว...!
...ว่ากันว่า...เมื่อกว่ากึ่งศตวรรษที่ผ่านมา...งานเขียนของ “คนรุ่นใหม่” ณ เวลานั้น คือ... “การแสวงหาคำตอบ อันเป็นผลผลิตชิ้นสำคัญของสังคมที่สับสน...แสดงความรู้สึก ที่เกิดขึ้นจากการมีชีวิตอยู่ในสังคม ระหว่าง “โลกใหม่กับโลกเก่า”...ค่านิยมใหม่กับค่านิยมเก่า...ตลอดจนการแสดงท่าทีของ “อาการหมดอาลัยตายอยากของตัวละคร” ออกมาในลักษณะของ “ANTI-HERO” ซึ่งเป็นลักษณะที่มุ่งชี้ให้เห็นถึง...ความอัปลักษณ์ของสังคม...ว่ามันคือสภาพการณ์ที่มนุษย์อาจจะแก้ไขได้...และงานเขียนของคนรุ่นใหม่ ณ ขณะนั้น...ที่มุ่งประเด็นการนำเสนอเช่นนี้...ก็ถูกตีค่าให้เป็น “วรรณกรรมเพื่อชีวิต”
“วรรณกรรมเพื่อชีวิต”...เป็นงานเขียนเกี่ยวกับเรื่องราวของความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสังคมแวดล้อมรอบตัว...ไม่ว่าจะเป็นจากในด้านสังคม เศรษฐกิจ หรือการเมือง...แต่จุดที่นักเขียนวรรณกรรมเพื่อชีวิตในช่วงเวลาห้าสิบกว่าปีที่แล้วมุ่งเขียนถึงก็คือความคิดที่ต้องการเปลี่ยนแปลงสภาพการณ์ที่เลวร้ายของสังคมให้ดีงามและมีความหวังที่งดงามยิ่งขึ้น...เหตุนี้...คุณค่าทางสำนึกคิดของวรรณกรรมเพื่อชีวิต ณ เวลานั้น...จึงขึ้นอยู่กับสำนึกคิดที่มุ่งหวังถึงการกระตุ้นเร้าให้ผู้คนได้ตระหนักถึงสภาพการณ์อันเลวร้าย...ชวนอนาถของสังคม (ซึ่งช่างละม้ายเหมือนในห้วงเวลาของวันนี้ก็ไม่ปาน!)...กระทั่ง...บังเกิดเป็น...ความตระหนักในการรับผิดชอบต่อสังคมขึ้นมา...โดยมุ่งหวังที่จะทำให้สังคมพัฒนาขึ้นสู่หนทางที่ดี...หรืออย่างน้อย... “ก็ไม่เลวร้าย...จนสิ้นศรัทธาไปกว่าเดิม”
บรรดานักเขียนในกลุ่มวรรณกรรมเพื่อชีวิตเมื่อห้าสิบกว่าปีที่แล้ว...ล้วนต่างแสดงความรู้สึกที่ "ไม่อยากเป็นส่วนหนึ่งกับสังคมที่พวกเขาจำต้องมีชีวิตอยู่" ออกมา อันได้แก่ สังคมนายทุน สังคมอุตสาหกรรม และสังคมความลึกลับในชีวิตมนุษย์...โดยแนวคิดส่วนใหญ่ คือการเจาะประเด็นไปที่การแสวงหาคำตอบอันเกี่ยวกับชีวิตและสังคม...ซึ่งมีส่วนทำให้พวกเขา...ต่างไม่แน่ใจในการมีชีวิตอยู่ของตัวเอง...
...ดูเหมือน...พวกเขาจะรู้สึกเหมือนว่า... “ตัวเองมีชีวิตอยู่อย่างคนแปลกหน้า” และ “ยอมรับความไร้สาระ” (Absurdity) ของการมีชีวิตอยู่ (Existentialism)...โดยไม่สามารถแก้ไขอะไรได้เลย...!
...สภาวการณ์ดังกล่าวนี้...เป็นภาพ “ความจริงที่เป็นจริง” ซึ่งต้องเผชิญหน้าและต้องยอมรับมันอย่างยากจะหลีกเลี่ยง...
...จึงอาจกล่าวได้ว่า...สังคมไทยเมื่อกว่าห้าสิบปีที่แล้วนั้น...เหมือนมองไม่เห็นหนทางของความหวัง...มองไม่เห็นหนทางแห่งแนวโน้มที่จะพัฒนาประเทศชาติบ้านเมือง...ให้ดีขึ้นได้เลย...! ทุก ๆ สิ่งตกอยู่ใน “ความเงียบ” ที่น่าหวาดหวั่น...
...การหาทางออกที่ดีไม่ได้ในลักษณะดังกล่าวนี้!...ถือเป็นความผิดหวังอันยิ่งใหญ่ จนกลายเป็นความรู้สึกท้อแท้ และ...นำไปสู่ความคิดสุดโต่งที่... “ไม่อยากเป็นส่วนหนึ่งของสังคม”!!!
*คาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx)...ได้กล่าวไว้ใน "ร่างต้นฉบับแห่งเศรษฐกิจและปรัชญา" (Economic And Philosophical Manuscript)...ซึ่งเป็นงานเขียนในยุคแรกของเขาว่า...
... “ความรู้สึกไม่เป็นส่วนหนึ่งกับสังคม...ข้าพเจ้าไม่ได้หมายถึงชีวิตที่เป็นของใครคนใดคนหนึ่ง ซึ่งตกอยู่ในภาวะครอบงำอันเหลือที่จะต่อต้านได้เท่านั้น...แต่ข้าพเจ้ายังถือว่าทุกสิ่งทุกอย่างย่อมเป็นบางสิ่งบางอย่าง ซึ่งมีความผิดแผกแตกต่างอยู่ด้วยตัวของมันเอง”
และ...ความหมายแห่ง “ความไม่เป็นส่วนหนึ่งกับสังคม” ตามทัศนะของ “มาร์กซ์” ก็คือ...ว่า “ความไม่เป็นส่วนหนึ่งของผลผลิตทางแรงงานของคนคนนั้น...ยิ่งคนทำงานหนักเท่าใด ก็ยิ่งจะถูกครอบงำด้วยโลกของวัตถุ ซึ่งผลิตขึ้นมาด้วยแรงงานของตน/...และชีวิตก็ไม่ใช่ของเขาอีกต่อไป...หากเป็นสมบัติของวัตถุ!”
แนวความคิด “ไม่เป็นส่วนหนึ่งกับสังคม” นับเป็นแนวความคิดที่โดดเด่นที่สุดในกลุ่มนักเขียน "วรรณกรรมเพื่อชีวิต" เมื่อกว่าห้าสิบปีที่แล้ว...อย่างไม่มีทางที่จะปฏิเสธเป็นอื่นได้...!!
...ความเป็นไปในสังคมในสภาพที่คลุมเครือชวนสงสัย...ในสภาพที่ทุกคนคอยแต่จะเป็น “ตัวของตัวเอง”...โดยถ้าไม่จำเป็นก็จะไม่เกี่ยวข้องกับ “สังคมภายนอก”
*ในสภาพที่ชนกลุ่มน้อย เอารัดเอาเปรียบชนกลุ่มใหญ่...จนทำให้ “อำนาจของเงินตรา” ได้กลายเป็นอำนาจที่คนต่างกลัวเกรงมากที่สุด...
รวมทั้ง...ในสภาพที่ความเจริญทางวิทยาศาสตร์ และอุตสาหกรรม กลายเป็นอิทธิพลที่คนยอมอย่างง่าย ๆ...โดยไม่มีการพิจารณาอย่างถี่ถ้วนเช่นเดียวกับยุคของ “ไอที” ในปัจจุบัน...!
*...การดำรงอยู่ในสภาพการณ์ของสังคมในลักษณะนี้ทั้งหมด...จึงเท่ากับว่า "เรา" ต้องตกอยู่ในวงล้อมของการต่อสู้อยู่ตลอดเวลา...ทำให้เกิดความไม่มั่นใจในสภาพความเป็นอยู่ของชีวิต...และที่สุด...! ก็เกิดความรู้สึกเบื่อหน่ายจนอยากจะหนีออกไปจากสังคมต่าง ๆ ที่เป็นต้นเหตุแห่งการบังเกิดความเบื่อหน่าย...นั้น ๆ"
...เคยมีคนให้ความเห็นไว้...ในประเด็นแห่งข้อเขียน ณ เวลานั้นว่า... "เราต้องการจะมีชีวิตอยู่ในสังคมชนิดใด?"...โดยได้มีการระบุเอาไว้ว่า... "สังคมระบบทุนนิยม (Capitalism) เป็นระบบเศรษฐกิจที่ให้เอกชนมีสิทธิ์ในการประกอบการลงทุนได้โดยเสรี...คนที่มีอำนาจทางเศรษฐกิจสามารถสะสมทุนทรัพย์และสะสมความรู้เกี่ยวกับการประกอบการ กระทั่งอาศัยความเสรีแบบไม่ค่อยมีหลักเกณฑ์ของระบบเศรษฐกิจประกอบธุรกิจ จนสามารถสร้างอิทธิพลทางด้านเศรษฐกิจขึ้นมาแข่งได้...ประชาชนส่วนรวมและประเทศชาติ จึงได้รับผลประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติที่ตนมีส่วนได้รับผลประโยชน์บ้าง...ประเทศของเราจึงพัฒนาไปในแนวทางเศรษฐกิจที่เชื่องช้า...และล้าหลังอย่างมาก...ขณะเดียวกัน นายทุนเหล่านี้กลับกอบโกยความร่ำรวย อยู่ตลอดเวลาและ...ตลอดไป"
...ความรู้สึกไม่อยากเป็นส่วนหนึ่งกับสังคมนายทุนนี้...เปรียบได้ดั่งความรู้สึกของคนที่ตกอยู่ในความมืด...รู้สึกอึดอัด หายใจไม่เต็มที่ และ...มี "ความอยากอย่างถึงที่สุด" ที่จะกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อให้สบายใจขึ้น...แม้ว่าการกระทำนั้นจะไม่เกิดแสงสว่างใดขึ้นมา... "แต่ก็น่าจะมีใครได้ยินเสียงบ้าง!!"..."
ปราชญ์คนสำคัญของประเทศได้บันทึกไว้ในประพันธกรรมของเขา ณ ห้วงเวลานั้น...ระบุว่า... "ผมคิดว่าผมมีความอยากอยู่อย่างเดียวในชีวิตคือ...อยากจะแหกปากร้องขึ้นมาสักครั้ง อย่างสง่างาม ไม่เกรงกลัวสิ่งใด เสียงตะโกนที่ก้องขึ้นมาจะต้องดังให้ถึงที่สุด ให้เต็มที่ ให้สุดเสียง และให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้"
เสียงแห่งประพันธกรรมข้างต้น...คือความตอนหนึ่งจากเรื่องสั้น "ออกไปจากความมืด" เมื่อปีพ.ศ. 2515...ที่แสดงให้เห็นถึง...ความรู้สึกที่ชัดเจนของความต้องการที่จะออกไปจากสังคมนายทุนอย่างมุ่งมั่นและจริงจังโดยแท้...!
ในประเด็นของความรู้สึกที่ "ไม่เป็นส่วนหนึ่งกับสังคมอุตสาหกรรม" ถือเป็นจุดที่ส่งผลต่อแง่มุมในการสร้างสรรค์ "วรรณกรรมเพื่อชีวิต" ขึ้นมาด้วยเงื่อนงำของการดำรงชีวิตอยู่ที่ไม่แตกต่างกันแต่อย่างใด...!
...ปัญหาของการมีชีวิตอยู่ในสังคมที่กำลังเปลี่ยนแปลงจาก สังคมเกษตรกรรม ที่เป็นสังคมเก่ามาสู่สังคมใหม่ อันได้แก่ สังคมอุตสาหกรรมและเทคโนโลยี กระทั่งมาถึงสังคมแห่ง "เอไอ" ในยุคปัจจุบัน...ถือเป็นปัญหาซ้อนปัญหาที่ทุกคนเผชิญหน้าอยู่ จนกลายเป็นความเคยชินในลักษณะที่ว่า... "ชีวิตกำลังกลายเป็นเครื่องจักรกลและเทคโนโลยีมากขึ้นทุกที"
...อิทธิพลทางด้านนี้ได้รุกเข้ามาครอบงำชีวิตทุกชีวิตในโลกปัจจุบัน...ดังบทสะท้อนในเรื่องสั้น "ฉันและเขา" ที่ "สุชาติ สวัสดิ์ศรี" ได้ตอกย้ำไว้เมื่อปีพ.ศ. 2515 เอาไว้ว่า... "คนรับใช้ยังคงปรับคลื่นวิทยุอยู่ตามเดิม บางทีวิทยุมันก็เป็นยาเสพติดชนิดหนึ่ง เสพติดเหมือนวิทยาศาสตร์ บางทียุคต่อไป เครื่องจักรอาจจะครองโลกก็ได้.."
อย่างไรก็ตาม...ชีวิตมนุษย์มีความลึกลับอยู่เสมอ การมองชีวิตอย่างผิวเผินย่อมมองไม่เห็นความลึกลับนี้...การมีอยู่ การเอาตัวรอด การยอมรับในสิ่งสมมุติต่าง ๆ ความเสื่อมของจิตใจ ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงค่านิยมในสังคม...สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ ล้วนแต่เป็นสิ่งที่มองเห็นได้ยาก ถ้าไม่รู้จักคิด พิจารณา และค้นหา "ความหมายที่แท้จริงของชีวิต"
หากแต่ว่า...การค้นหาความหมายของชีวิตในสภาพสังคมใหม่ถือเป็นเรื่องที่ยากที่สุด เพราะยังมีข้อสงสัยที่หาคำตอบอันน่าพอใจไม่ได้เลยอยู่อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นความลึกลับของจักรวาล...อุปสรรคที่เกิดขึ้นกับชีวิตซ้ำแล้วซ้ำเล่าทั้งที่ไม่ต้องการ...ความมืดมนของชีวิตในอนาคต ล้วนแต่เป็นความลึกลับ ที่ยังคงอยู่ในใจมนุษย์เสมอ...!! และยิ่งเมื่อยังหาคำตอบไม่ได้...จิตใจของมนุษย์ ก็ยิ่งจะอ่อนแอ หดหู่ และอยากจะหนีไปจากชีวิตอันจำเจของวันนี้...ไปเสียให้พ้น...!
52 ปี...ผ่านมาแล้ว...นับจากเหตุการณ์วิปโยค "14 ตุลาคม" "กระแสแห่งวรรณกรรมเพื่อชีวิตก็ได้เติบโตขึ้นอย่างมีแนวทาง...ตามเงื่อนไขของสังคม และ...ความรู้สึกทั้งหมดที่ได้กล่าวมา...
วันเวลา...ล่วงผ่านไปแล้วกว่ากึ่งศตวรรษ...มีอะไรที่คืบหน้าและเรืองรุ่งไปสู่ความดีงามบ้างไหม? "ความรู้สึกไม่เป็นส่วนหนึ่งกับสังคม" ได้ตายไปแล้วหรือยังคงอยู่?...นักเขียนรุ่นใหม่วันนี้ทำอะไรกัน?...และ "วรรณกรรมเพื่อชีวิต" ของวันนี้...จักเป็นไปเพื่อสิ่งใด?...
เราไม่สามารถที่จะหาคำตอบ หรือให้คำตอบได้โดยทันที...ยิ่งสังคมนายทุนได้ยกระดับตัวเอง และผูกขาดการเป็น...ผู้นำ ผู้บริหารประเทศ...ได้ง่ายเสียกว่า "การรูดซิปกางเกงเพื่อขับถ่าย"
*ในสังคมที่อาชญากรรมเป็นเพียงเรื่องอ่านราคาถูก
*ในสังคมที่ผู้นำประเทศพูดอะไรไม่เป็นนอกจากคำสามคำคือ "ยังไม่ได้รับรายงาน" "คิดมาก" และ "ไม่มีปัญหา"
*ในสังคมที่สื่อทุกแขนง...ถูกยึดครองอย่างเป็นนิรันดร์ โดยสาระเรื่องราวของ "คนสิ้นคิด"...ด้วยท่าทีแห่งความสิ้นหวัง...ไร้ค่า...ตลอดกาล"
"ผู้คนที่ผมมองเห็นอยู่ตามถนนหนทาง/บนรถเมล์ ตามสวนสาธารณะ ตามโรงหนัง/ดูพวกเขาไม่คิดถึงสิ่งเหล่านี้มาก่อน/พวกเขาไม่เคยทำอะไร/นอกจากพอใจ หรือไม่ก็หลอกตัวเอง/พวกเขาไม่กล้าเผชิญหน้า/แต่ชอบปล่อยชีวิตให้ผ่านไปเรื่อย ๆ/ศีลธรรมของพวกเขาก็คือ..."กระแสความเสแสร้งที่ถูกเก็บไว้นาน ๆ โดยพร้อมที่จะสุภาพ หรือไม่ ก็ทำเฉยเมย..."..."
ในที่สุด...สภาพสังคมเมื่อกว่ากึ่งศตวรรษที่แล้ว...ดูเหมือนว่าจะเต็มไปด้วย "ความเงียบ" ที่น่าหวาดหวั่น... "มันก็หาได้เปลี่ยนจากสภาวะนี้ไป"...เราแทบจะหวังอะไรจากสังคมและผู้คนของสังคมไม่ได้เลย...
แต่เมื่อ...เลยเรื่อยมาจนถึงวันนี้...เรากลับยิ่งพบว่า "ความเงียบที่เราต่างได้สัมผัสนั้น...เป็นความเงียบที่เงียบกว่า...เงียบและเงียบยิ่งกว่า...กระทั่งสั่นสะท้าน...น่าสยดสยอง...ยิ่งกว่านัก!!!"