สหรัฐอเมริกาเตรียมเรียกเก็บภาษีนำเข้ายางล้อจากประเทศไทยในอัตราสูงถึง 29% มีผลตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2568 ภายใต้นโยบาย “Reciprocal Tariff” หรือมาตรการภาษีตอบโต้ทางการค้า ซึ่งนับเป็นแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ต่ออุตสาหกรรมยางรถยนต์ไทย โดยเฉพาะกลุ่มผู้ผลิตระดับโลกที่ตั้งฐานการผลิตในไทยเพื่อส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ ซึ่งถือเป็นตลาดส่งออกอันดับหนึ่งของไทยมาโดยตลอด
ผลิตภัณฑ์ยาง นับเป็นหนึ่งในสินค้าส่งออกหลักของไทยที่มีความเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจโลกอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะกับตลาดสหรัฐฯ ที่ไทยส่งออกยางล้อ ถุงมือยาง และวัตถุดิบยางพาราในปริมาณสูงสุดในโลก อีกทั้งยังเป็นผู้ส่งออกวัตถุดิบให้กับประเทศอื่น ๆ เพื่อนำไปผลิตและส่งออกต่อไปยังสหรัฐฯ ทำให้การเปลี่ยนแปลงนโยบายภาษีในครั้งนี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้ประกอบการ แรงงาน และเกษตรกรไทยกว่า 2 ล้านคนที่อยู่ในห่วงโซ่อุตสาหกรรมยางพารา
สำหรับผลกระทบเชิงโครงสร้างนั้นแตกต่างกันไปในแต่ละผลิตภัณฑ์ ยางล้อรถยนต์คาดว่าจะได้รับผลกระทบจำกัด แม้อัตราภาษีรวมจะสูงถึง 29% แต่ยังอยู่ในระดับใกล้เคียงกับคู่แข่งหลายประเทศ ขณะที่ไทยยังคงได้เปรียบด้านต้นทุนการผลิตและราคาขายที่ต่ำกว่า จึงสามารถรักษาความสามารถในการแข่งขันได้ในระดับหนึ่ง ส่วนยางแท่งและน้ำยางข้นยังคงได้รับการยกเว้นภาษี ทำให้ความสามารถในการแข่งขันของไทยไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก แต่ในกลุ่มถุงมือยางกลับได้รับผลกระทบมากกว่า แม้ภาษีที่เรียกเก็บจากไทยจะเท่ากับมาเลเซียและต่ำกว่าจีน แต่การแข่งขันในตลาดเอเชียเริ่มรุนแรงขึ้นจากภาวะ “China flooding” หรือการระบายสินค้าราคาต่ำจากจีน ขณะเดียวกันยังเริ่มเห็นการย้ายฐานการผลิตของโรงงานจีนไปยังเวียดนามและอินโดนีเซีย เพื่อเลี่ยงภาระภาษี ทำให้ถุงมือยางไทยต้องเผชิญการแข่งขันรอบใหม่ในอนาคต
ข้อมูลจาก การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) ระบุว่า แม้มาตรการภาษีใหม่จะเพิ่มภาระให้กับการส่งออก แต่ ยางธรรมชาติ (HS-4001) ยังคงได้รับการยกเว้นภาษีตาม Annex II ของคำสั่งดังกล่าว จึงถือเป็น “โอกาสสำคัญ” ที่ไทยยังสามารถส่งออกยางธรรมชาติไปตลาดสหรัฐฯ โดยไม่ต้องแบกรับภาระเพิ่มเติม ซึ่งจะช่วยรักษาส่วนแบ่งตลาดและเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในระยะยาว ขณะที่ ยางยานพาหนะ (HS-4011) ถูกเก็บภาษีสูงสุดถึง 29% แม้ยังต่ำกว่าบางประเทศ เช่น เวียดนาม (30%) และกัมพูชา (32%) แต่ก็ยังเป็นภาระสำคัญที่ผู้ผลิตต้องเร่งรับมือ ภาษีที่สูงขึ้นอาจทำให้ปริมาณการส่งออกยางรถยนต์จากไทยลดลง กระทบต่อยอดการผลิตภายในประเทศในระยะยาว
นโยบายภาษีใหม่ของสหรัฐฯ ยังส่งผลโดยตรงต่อห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมยานยนต์ หากภาษีนำเข้ายางล้อจากไทยสูงขึ้น ต้นทุนการผลิตรถยนต์ในสหรัฐฯ ก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ซึ่งอาจลดความต้องการสินค้ายางจากไทยในอนาคต ทั้งที่อุตสาหกรรมยางยานพาหนะของสหรัฐฯ มีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงถึง 170.6 พันล้านดอลลาร์ และมีการจ้างงานกว่า 291,000 ตำแหน่ง การเปลี่ยนแปลงด้านภาษีนำเข้าจึงมีผลต่อสมดุลเศรษฐกิจโลกโดยตรง
แม้มาตรการภาษีจะสร้างความท้าทาย แต่ผู้ประกอบการไทยยังมีแนวทางปรับตัวเพื่อรักษาความแข็งแกร่งของอุตสาหกรรม เช่น การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตเพื่อลดต้นทุนต่อหน่วย การพัฒนานวัตกรรมยางมูลค่าสูง และการขยายตลาดใหม่ในตะวันออกกลาง แอฟริกา และเอเชียใต้ เพื่อลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ นอกจากนี้ ผู้ประกอบการหลายรายยังปรับกลยุทธ์โดยเร่งส่งออกก่อนมาตรการภาษีมีผลอย่างเต็มรูปแบบ พร้อมชะลอแผนการลงทุนใหม่และบริหารจัดการชั่วโมงทำงานแทนการลดพนักงาน รวมถึงติดตั้งระบบพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Cell) เพื่อควบคุมต้นทุนพลังงาน
อุตสาหกรรมถุงมือยางของไทย ซึ่งพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ มากถึง 94% คาดว่าจะได้รับผลกระทบชัดเจนกว่าอุตสาหกรรมยางล้อ แม้อัตราภาษีของไทย (33%) ยังต่ำกว่าจีนที่ต้องเผชิญภาษีรวมสูงถึง 94% จากทั้ง Reciprocal Tariff และ Section 301 แต่การแข่งขันในตลาดอื่น โดยเฉพาะภูมิภาคเอเชียกลับทวีความรุนแรงจากการระบายสินค้าราคาต่ำของจีน ขณะเดียวกันยังมีสัญญาณว่าผู้ผลิตจีนเริ่มย้ายฐานการผลิตไปยังเวียดนามและอินโดนีเซีย ทำให้คู่แข่งในตลาดสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผู้ประกอบการไทยจึงหันมาเน้นสินค้ามูลค่าเพิ่มและเจาะตลาดเฉพาะกลุ่ม เช่น ถุงมืออุตสาหกรรม หรือถุงมือเคลือบสารโพลิเมอร์ เพื่อหลีกเลี่ยงการแข่งขันด้านราคา และเพิ่มสภาพคล่องด้วยการปรับรูปแบบการส่งมอบสินค้าที่ถี่ขึ้น
นอกเหนือจากภาษีนำเข้าข้างต้น อุตสาหกรรมยางพาราไทยยังต้องเผชิญปัจจัยท้าทายอื่น ๆ ที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ทั้งความเสี่ยงจากภาษีทุ่มตลาด (AD), ภาษีตอบโต้การอุดหนุน (CVD) และภาษีการส่งผ่าน (Transshipment) โดยเฉพาะในกลุ่มยางล้อ ขณะเดียวกัน กระแสความยั่งยืน (Sustainability) กลายเป็นประเด็นสำคัญที่ผู้ประกอบการต้องเร่งปรับตัวให้สอดคล้องกับมาตรฐานใหม่ของตลาดโลก เช่น กฎหมายสินค้าปลอดการตัดไม้ทำลายป่าของสหภาพยุโรป (EUDR) และการใช้พลังงานสีเขียว เพื่อยกระดับภาพลักษณ์และลดต้นทุนระยะยาว
ดังนั้น มาตรการภาษีสหรัฐฯ จึงไม่ใช่เพียงความท้าทาย แต่ยังเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ผลักให้ไทยต้องเร่งปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมยางสู่การผลิตที่มีมูลค่าเพิ่ม ยั่งยืน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หากผู้ประกอบการไทยสามารถปรับตัวได้ทันตามกระแสโลก อุตสาหกรรมยางพาราไทย จะไม่เพียงรักษาตลาดสหรัฐฯ ไว้ได้ แต่ยังสามารถก้าวสู่การเป็นผู้นำในตลาดยางคุณภาพระดับโลกในอนาคต