...ความรอบรู้ด้านสุขภาพไม่ใช่แค่รู้ แต่คือพลังในการเปลี่ยนแปลงสังคมให้ทุกคนมีสุขภาพดีอย่างเท่าเทียม และเมื่อเทคโนโลยีและชุมชนจับมือกัน ความรอบรู้จะไม่ใช่เรื่องของคนบางกลุ่มอีกต่อไป...
เพราะการดำเนินงานด้านสาธารณสุขของประเทศไม่ได้เป็นแค่การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าหรือการรักษาพยาบาลเป็นรายกรณี แต่เป็นการวางแผนและดำเนินการที่ครอบคลุม ครบวงจร และเชื่อมโยงกัน ในทุกมิติ เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ด้านสุขภาพที่ดีและยั่งยืนสำหรับประชาชนทุกคน
กระทรวงสาธารณสุข ได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาสุขภาพของประชาชนอย่างเป็นระบบ และภายใต้การนำของนายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ที่ได้ประกาศนโยบายเร่งด่วน 5 ข้อ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ “รอบรู้เพื่ออยู่อย่างมีคุณภาพชีวิต” ซึ่งถือเป็นกลไกสำคัญในการบรรลุเป้าหมายด้านสุขภาพที่ยั่งยืน

การขับเคลื่อนเรื่องนี้มีความเข้มข้นขึ้นในเดือนตุลาคมของทุกปี ซึ่งถูกกำหนดให้เป็น “เดือนแห่งความรอบรู้ด้านสุขภาพ” (Health Literacy Month) ที่สอดรับกับทิศทางระดับโลกและนโยบายของประเทศอย่างชัดเจน
แนวคิดและนโยบายหลักในการขับเคลื่อน
โดยในปี 2568 สมาคม HL นานาชาติ (IHLA) ได้กำหนดแนวคิดหลักคือ “สร้างความเสมอภาคทางสุขภาพด้วยนวัตกรรมและการมีส่วนร่วม (Building Health Equity Through Innovation and Inclusion)” ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการรณรงค์ในประเทศไทย แนวคิดนี้ตอกย้ำถึงความจำเป็นในการลดความเหลื่อมล้ำทางสุขภาพ โดยใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีและความร่วมมือจากทุกภาคส่วน

นโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับความรอบรู้ด้านสุขภาพ ได้แก่
• รอบรู้เพื่ออยู่อย่างมีคุณภาพชีวิต เป็นการเน้นย้ำถึงการเสริมสร้างความสามารถของประชาชนในการเข้าถึง ทำความเข้าใจ และใช้ข้อมูลสุขภาพเพื่อการตัดสินใจและปรับพฤติกรรม
• 30 บาทรักษาทุกที่ เป็นการสร้างความเสมอภาคในการเข้าถึงบริการ ซึ่งสอดคล้องกับการสร้างความรอบรู้เพื่อใช้บริการให้เหมาะสม
• หมอไม่ล้า ประชาชนไม่รอ เป็นผลลัพธ์ที่คาดหวังจากการที่ประชาชนมีความรอบรู้ด้านสุขภาพเพียงพอ (Health Literacy) จนสามารถดูแลตนเอง ลดการป่วย และลดภาระของระบบบริการสุขภาพลงได้
และเพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าว กระทรวงสาธารณสุขจึงได้สนับสนุนแคมเปญ “3 รู้ อยู่รอด” อันประกอบด้วย 1) รอบรู้ข้อมูลสุขภาพที่ถูกต้อง 2) ตระหนักรู้สถานะสุขภาพของตนเอง และ 3) รอบรู้วิธีแก้ปัญหาสุขภาพ เพื่อเป็นกรอบความคิดที่เข้าใจง่ายสำหรับการปฏิบัติในระดับบุคคล
กลยุทธ์ 4 แนวทางสู่การปฏิบัติที่ยั่งยืน
พญ.นงนุช ภัทรอนันตนพ รองอธิบดีกรมอนามัย ได้ขยายความถึง 4 แนวทางสำคัญ ในการรณรงค์ความรอบรู้ด้านสุขภาพในปี 2568 ซึ่งเป็นกลยุทธ์เชิงปฏิบัติการที่เน้นการบูรณาการและผลลัพธ์ที่จับต้องได้ การสร้างความเท่าเทียมด้านสุขภาพ มุ่งเน้นการออกแบบการบริการและข้อมูลสุขภาพให้ "เข้าถึงได้" และ "เหมาะสม" กับประชาชนทุกกลุ่ม โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมการสื่อสาร ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อทำให้การเผยแพร่ข้อมูลสุขภาพ "มีประสิทธิภาพ" และ "เข้าถึงง่าย" ขึ้นในยุคสมัยใหม่ การสื่อสารเชิงสร้างสรรค์ ใช้ช่องทางที่หลากหลาย เช่น ศิลปะ วัฒนธรรม และการเล่าเรื่อง เพื่อลดอุปสรรคทางภาษาหรือวัฒนธรรม และเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่มีความหลากหลาย และ การผลักดันสู่การปฏิบัติที่ยั่งยืน เน้นการนำแนวคิดความรอบรู้ด้านสุขภาพไปใช้ใน ระดับองค์กรและชุมชน เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและผลลัพธ์สุขภาพที่เป็น "ต่อเนื่องและยั่งยืน" ในระยะยาว

การมีส่วนร่วมและการสร้างแรงจูงใจผ่านนวัตกรรม
นพ.อัครวัฒน์ เพียวพงภควัต ผู้อำนวยการกองส่งเสริมความรอบรู้และสื่อสารสุขภาพ กล่าวว่า เพื่อให้เกิดการกระตุ้นและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนและบุคลากรในวงกว้าง ได้ริเริ่มกิจกรรมที่สอดคล้องกับแนวโน้มของสื่อสารในปัจจุบัน นั่นคือ การประกวดคลิปสร้างสรรค์บนแพลตฟอร์ม TikTok ในหัวข้อ “รอบรู้เท่าทัน ปรับพฤติกรรม ลดเสี่ยง NCDs” (โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง)
กิจกรรมนี้เปิดโอกาสให้บุคลากรสาธารณสุขได้แสดงศักยภาพในการถ่ายทอดความรู้ในรูปแบบที่ ทันสมัยและเข้าถึงง่าย ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการใช้ "นวัตกรรมและการมีส่วนร่วม" เพื่อบรรลุเป้าหมายความรอบรู้ด้านสุขภาพในวงกว้าง การมุ่งเน้นที่การลดความเสี่ยงของ NCDs เป็นการแก้ไขปัญหาสุขภาพที่สำคัญและเป็นภาระต่อระบบสุขภาพของประเทศ
จากข้อมูลข้างต้น จึงสามารถสรุปได้ว่า “รอบรู้ เพื่ออยู่อย่างมีคุณภาพชีวิต” ไม่ได้เป็นเพียงแค่การให้ข้อมูลเท่านั้น แต่เป็นการวางรากฐานสำคัญในการเสริมสร้างศักยภาพของประชาชนให้เป็น "พลเมืองสุขภาพ" ที่สามารถตัดสินใจและจัดการสุขภาพของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ อันจะนำไปสู่การบรรลุเป้าหมาย “หมอไม่ล้า ประชาชนไม่รอ” และการสร้าง ความเสมอภาคทางสุขภาพ ให้เกิดขึ้นจริงในสังคมไทย จึงคาดหวังว่านโยบายเร่งด่วนของรัฐมนตรีว่ากรกระทรวงสาธารณสุขคนใหม่นี้จะสามารถขับเคลื่อนได้จริงในห้วงเวลา 4 เดือนต่อจากนี้ เพื่อผลลัพธ์ด้านสุขภาพที่ดีและยั่งยืนสำหรับประชาชนทุกคนอย่างแท้จริง