วันที่ 8 ตุลาคม 2568 นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “The Future Finance โฉมใหม่การเงินการคลัง” ภายในงานสัมนาประจำปี CEO ECONMASS AWARDS 2025 จัดโดยสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ เมื่อวันที่ 8 ต.ค.2568 ว่า โจทย์สำคัญของประเทศคือ เมื่อโลกเปลี่ยน ประเทศไทยจะไปทางไหน และจะหาเงินจากไหน โดยโลกกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงใน 4 เทรนด์หลัก ได้แก่ 1. โลกเลือกข้าง (Geopolitics) โลกกำลังเปลี่ยนจากยุคการค้าเสรี ที่มีการลดภาษีผ่านกลไกต่างๆ เช่น Free Trade Area (FTA) ไปสู่การค้าแบบเลือกข้าง แปลว่าการส่งออกสินค้าจะต้องมีการตรวจสอบซัพพลายเชนอย่างเข้มข้น เพื่อป้องกันการย้ายฐานผลิตมาใช้ประเทศอื่นเป็นทางผ่าน (transshipment) ซึ่งอาจถูกเก็บภาษีหนักขึ้นถึง 40-50% ได้ โดยขณะนี้สหรัฐได้ขึ้นภาษีไทยแล้ว 19% ,2. สังคมผู้สูงอายุ (Older Boom) ขณะที่ในอดีตประเทศไทยเติบโตจากการคว้าโอกาสในการเคลื่อนย้ายการลงทุนอย่างเสรี (FDI) และมีโครงสร้างพื้นฐานรองรับ เช่น Eastern Seaboard และท่าเรือมาบตาพุด แต่ปัจจุบันไทยกำลังเข้าสู่ยุค "Older Boom" หรือสังคมผู้สูงอายุเต็มเมือง ขณะที่ประชากรโลกมีผู้สูงอายุ (60 ปีขึ้นไป) อยู่ 15% แต่ประเทศไทยมีถึง 20% ซึ่งหนักกว่าประเทศอื่น ปัญหาสำคัญคือคนไทยส่วนใหญ่มีแนวโน้มจะ "จนก่อนแก่" ทำให้เป็นภาระของภาครัฐอย่างมาก จำเป็นต้องมีการรีสกิล (reskill) และอัพสกิล (upskill) รวมทั้งการเปิดโอกาสให้กลุ่มคนเกษียณจากต่างประเทศเข้ามาใช้จ่ายในไทย

3. การเปลี่ยนสู่ AI และดิจิทัล โลกกำลังเปลี่ยนจากยุคอะนาล็อกไปสู่ดิจิทัล และกำลังพัฒนาสู่ยุค AI อย่างรวดเร็ว ยกตัวอย่าง ChatGPT ที่เกิดขึ้นเพียง 3 ปี แต่สามารถนำมาใช้งานได้หลากหลาย และ4. โลกสีเขียว (Green World) ปัญหาภาวะโลกร้อนทำให้เกิดกติกาการค้าใหม่ด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มข้นขึ้น โดยวันที่ 1 ม.ค.2569 สหภาพยุโรปจะเริ่มเก็บภาษี Carbon Border Adjustment (CBAM) กับสินค้า 5 ชนิด เช่น ปุ๋ย ซีเมนต์ เหล็ก อะลูมิเนียม และไฟฟ้า ซึ่งต้องรายงานปริมาณคาร์บอนที่ปล่อย ซึ่งถือเป็นโอกาสสำหรับประเทศที่สามารถเข้าสู่ซัพพลายเชนของโลกสีเขียว และนักลงทุนต่างชาติให้ความสำคัญกับพลังงานสะอาดอย่างยิ่งในการพิจารณาเข้ามาลงทุน
นายเอกนิติ กล่าวว่า ประเทศไทยกำลังเดินมาถึงจุดหัวเลี้ยวหัวต่อ ที่หากไม่ปรับตัวจะยิ่งแย่ลง โดยเศรษฐกิจไทยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยลดลงอย่างต่อเนื่อง จาก 7% ก่อนปี 2540 เหลือไม่ถึง 2% ในปัจจุบัน สาเหตุหลักมาจากการ ขาดการลงทุน มานาน โดยการลงทุนลดลงจาก 40% ของ GDP เหลือเพียง 23% นอกจากนี้ไทยยังเผชิญปัญหาการขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะ และการเรียนรู้ที่ไม่ตรงกับความต้องการของตลาด นักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในไทยมองว่าอุปสรรคใหญ่คือเรื่องทักษะแรงงานเป็นหลัก ไม่ใช่ปัญหาการเมือง ทำให้ประเทศไทยโตสู้ประเทศเพื่อนบ้านที่โต 8% ไม่ได้
"หากวิเคราะห์อย่างละเอียด จะพบว่า เศรษฐกิจกำลังดิ่งลง แม้ไตรมาส 1 และ 2 จะโตเฉลี่ย 3% แต่เกิดจากการเร่งส่งออกล่วงหน้าก่อนที่ภาษีจะขึ้น แต่มีการคาดการณ์ว่าไตรมาส 3 จะโตเพียง 1.7% และไตรมาส 4 จะเหลือเพียง 0.3% ซึ่งนอกจากปัญหาเครื่องยนต์ส่งออกที่ชะลอตัวแล้ว ภายในประเทศยังมีปัญหา หนี้ครัวเรือนสูง กว่า 80% ของ GDP และ SME ขาดสภาพคล่อง"
นายเอกนิติ กล่าวว่า รัฐบาลมีเวลาจำกัด 4 เดือน จึงต้องดำเนินนโยบายแบบ Quick Big Win ฟื้นระยะสั้น สร้างผลกระทบที่ใหญ่และกระจายตัวให้ทั่วถึงเพื่อแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ โดยปัจจุบันรายได้ของคนรวยที่สุด 20% แรก คิดเป็น 50% ของ GDP ขณะที่คนจนที่สุด 20% แรก คิดเป็นเพียง 6% ซึ่งเป็นความเหลื่อมล้ำที่สูงมาก โดยทีมเศรษฐกิจจะเน้นการ กระตุ้นสั้น ได้ผลยาว กระจายตัว โดยเฉพาะในส่วนของกระทรวงการคลังจะเร่งดำเนินงานตาม 5 เสาหลัก

นายเอกนิติ กล่าวต่อว่า แผนงานทั้ง 5 เสาหลักนี้จะอยู่บนพื้นฐานของ วินัยทางการคลัง โดยในเดือนพฤศจิกายน รัฐบาลจะจัดทำกรอบวินัยทางการคลังระยะกลาง (MTFF) เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับต่างประเทศ โดยจะเปิดเผยข้อมูล รายได้ รายจ่าย และการบริหารจัดการหนี้อย่างโปร่งใส ตรงไปตรงมา ซึ่งมั่นใจว่าจะสามารถผลักดันเศรษฐกิจไทยให้พ้นจากหล่มและหวังผลในระยะยาวได้