รองศาสตราจารย์ ดร.เขมภัทท์ เย็นเปี่ยม ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ศิริมา บุญมาเลิศ โรงเรียนกฎหมายและการเมือง มหาวิทยาลัยสวนดุสิต นำเสนอบทความ เรื่อง " อยู่ร่วมกันในความต่าง พลเมืองยุคดิจิทัลต้องรู้" ระบุว่า
สังคมไทยเป็นสังคมพหุวัฒนธรรม มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ ศาสนา ความคิด การเมือง และรูปแบบการดำเนินชีวิต ซึ่งสะท้อนอยู่ชัดเจนมากยิ่งขึ้นในโลกแห่งยุคดิจิทัล การแสดงออกที่ขาดความเข้าใจ อคติ การเหยียด ความเกลียดชัง และการบูลลี่ทางออนไลน์ เป็นผลลัพธ์ของการที่ “พลเมืองดิจิทัล” ยังขาดทักษะที่จำเป็นในการอยู่ร่วมกันอย่างสร้างสรรค์ ความหลากหลายเป็นธรรมชาติของสังคมมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นความคิด ความเชื่อ เพศวิถี เชื้อชาติ หรือวิถีชีวิต อย่างไรก็ตาม ความหลากหลายจะกลายเป็น “ความขัดแย้ง” เมื่อขาดทักษะในการสื่อสาร การฟัง และความเข้าใจซึ่งกันและกัน
ในโลกดิจิทัล ความเร็วและปริมาณของข้อมูล มักทำให้ผู้คนตอบสนองต่อความคิดเห็นที่แตกต่างด้วย “อารมณ์” มากกว่า “เหตุผล” ซึ่งตรงกับคำอธิบายของ Jurgen Habermas ที่เสนอว่า พื้นที่สาธารณะ (Public Sphere) ควรเป็นพื้นที่ของการสนทนาอย่างมีเหตุผล (Rational Discourse) ไม่ใช่พื้นที่ที่เสียงดังที่สุดเป็นฝ่ายชนะ
แพลตฟอร์มออนไลน์หลายแห่งกลับกลายเป็น “Echo Chamber” หรือห้องสะท้อนเสียงที่ผู้ใช้อยู่แต่ในกลุ่มที่คิดเห็นเหมือนกัน และปิดกั้นความคิดที่แตกต่างซึ่งการอยู่ร่วมในความแตกต่างจึงต้องอาศัย “ทักษะพลเมืองดิจิทัล” มากกว่าแค่การรู้ใช้เทคโนโลยี
แนวคิดเกี่ยวกับ Digital Citizenship หรือ “พลเมืองดิจิทัล” ไม่ใช่เพียงการใช้อินเทอร์เน็ตเป็น แต่ต้องครอบคลุมถึงการมีส่วนร่วมทางสังคมออนไลน์อย่างมีจริยธรรม รับผิดชอบ และเคารพผู้อื่น ซึ่ง Mike Ribble (2011) กล่าวว่า การเป็นพลเมืองดิจิทัลที่ดีจะต้องประกอบด้วย 3 S ได้แก่ 1.การมีความรู้ทางเทคโนโลยีและการแบ่งปันความรู้ให้กับผู้อื่น (Savvy) 2.การป้องกันตนเองและผู้อื่น (Safe) และ 3.การเคารพตนเองและผู้อื่นในสังคมออนไลน์ (Social)
ดังนั้น ความเป็น “พลเมืองดิจิทัล” ที่แท้จริง ต้องสามารถรับมือกับความเห็นต่างโดยไม่ใช้ Hate Speech เพื่อสร้างความเกลียดชัง ไม่เลือกปฏิบัติและไม่ใช้สื่อเพื่อย่ำยีผู้อื่น แม้จะเห็นต่างทางการเมือง ศาสนา หรืออัตลักษณ์ในสังคมที่ทุกคนสามารถโพสต์แสดงความคิดเห็น แชร์ภาพ หรือส่งข้อความถึงคนเป็นล้านภายในไม่กี่วินาที ความรับผิดชอบในโลกดิจิทัล จึงไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยอีกต่อไป
การเรียนรู้จากความต่าง ไม่เพียงเป็นทักษะการอยู่ร่วมกัน แต่ยังเป็นพลังในการสร้างนวัตกรรม ความคิดสร้างสรรค์และการพัฒนาสังคมอย่างยั่งยืน โดย Howard Gardner นักจิตวิทยาผู้เสนอทฤษฎีพหุปัญญา (Multiple Intelligences) ได้กล่าวไว้ว่า มนุษย์มีความฉลาดแตกต่างกัน และคุณค่าของสังคมที่ดี คือ การเปิดพื้นที่ให้ทุกคนได้ใช้ศักยภาพที่ต่างกันเหล่านั้นในโลกดิจิทัล ความต่างจึงไม่ควรถูกกดทับ แต่ควรได้รับการยอมรับ และนำไปสู่การเรียนรู้ร่วมกัน ตัวอย่างเช่น การสร้างพื้นที่สนทนาระหว่างคนต่างรุ่น เช่น คนรุ่นเก่ากับ Gen Z การใช้โซเชียลมีเดียเป็นเวทีแลกเปลี่ยนความคิดอย่างสร้างสรรค์การเปิดรับความหลากหลายทางเพศ ศาสนา และวัฒนธรรม ด้วยมุมมองใหม่
ดังนั้น การเรียนรู้การอยู่ร่วมต้องเริ่มจากพื้นฐาน เช่น การฟังอย่างเห็นคุณค่า (Active Listening)การแสดงออกด้วยการเคารพผู้อื่น และการคิดอย่างมีวิจารณญาณ ไม่ใช่แค่สอนให้ “ใช้เทคโนโลยีเป็น” แต่ต้อง “ใช้เทคโนโลยีให้เป็น”ด้วย
นอกจากนี้ ภาครัฐ เอกชน และแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ควรร่วมกันสร้าง Community Guideline ที่สนับสนุนการแสดงออกโดยไม่สร้างความเกลียดชัง เช่น ระบบแจ้งพฤติกรรมไม่เหมาะสม การจัดกิจกรรมเชิงสนทนาแบบเปิด โดยสถาบันการศึกษาและชุมชนท้องถิ่นอาจจัดเวทีแลกเปลี่ยนความเห็น โดยการสร้างโครงการร่วมระหว่างกลุ่มที่มีความคิดต่างกันเพื่อฝึกการทำงานท่ามกลางความแตกต่าง เช่น Hackathon ประเด็นสิทธิมนุษยชน เวทีดีเบตเยาวชนข้ามรุ่น ฯลฯ สิ่งที่สำคัญ คือ บรรดาอินฟลูเอนเซอร์ นักการเมือง และสื่อมวลชน ควรเป็นแบบอย่างในการสื่อสารอย่างรับผิดชอบ ไม่ใช้ Hate Speech และไม่ผลิตเนื้อหาที่สร้างอคติหรือบิดเบือนความจริง
ดังนั้น การเป็น “พลเมืองดิจิทัล” ในวันนี้ไม่ได้วัดกันที่จำนวนผู้ติดตามและความไวในการแชร์หรือความสามารถทางเทคนิค แต่คือความสามารถในการ “อยู่ร่วมกับความแตกต่าง” อย่างมีคุณภาพ โลกดิจิทัลทำให้เราอยู่ใกล้กันมากขึ้น แต่หากไม่มีทักษะในการเข้าใจผู้อื่นก็จะกลายเป็นโลกที่ “ใกล้ทางกาย แต่ห่างทางใจ” ยิ่งกว่าเดิม พลเมืองไทยจึงต้องเรียนรู้ที่จะเปิดใจ เห็นคุณค่าของความแตกต่าง รับฟังความคิดเห็นที่ไม่ตรงกับตน และใช้พลังของเทคโนโลยีในการสร้างสังคมที่เข้าใจ เห็นอกเห็นใจ และก้าวไปข้างหน้าร่วมกันไม่ใช่แค่ “อยู่” กับความแตกต่าง แต่ต้อง “อยู่ให้เป็น” ในความแตกต่างด้วยความเข้าใจ