วันที่ 7 ตุลาคม 2568 ที่ส่วนการท่องเที่ยว สำนักวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว บริเวณใต้สะพานพระปิ่นเกล้าฝั่งพระนคร ในการนำสื่อมวลชนลงเรือสำรวจการเตรียมความพร้อมในพื้นที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา นายฐนโรจน์ วรรัฐประเสริฐ ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการน้ำแห่งชาติ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ในฐานะรองโฆษก สทนช. ได้สรุปและเปรียบเทียบตัวเลขสถานการณ์น้ำเหนือปี 2568 กับปี 2554 โดยปริมาณน้ำผ่าน จ.นครสวรรค์ (จุดชี้วัดน้ำเหนือ) ปี 2554 ปริมาณน้ำไหลผ่านสูงสุด 4,700 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที (ลบ.ม./วินาที) ส่วน ปี 2568 ปัจจุบัน ปริมาณน้ำสูงสุดที่ผ่านมาอยู่ที่ 2,800 ลบ.ม./วินาที และล่าสุดลดลงเหลือ 2,700 ลบ.ม./วินาที
ปริมาณน้ำผ่านเขื่อนเจ้าพระยา ปี 2554 ปริมาณน้ำไหลผ่านสูงสุด 3,700 ลบ.ม./วินาที ส่วนปีปัจจุบัน ปริมาณน้ำไหลผ่านสูงสุดอยู่ที่ 2,500 ลบ.ม./วินาที โดยให้ความมั่นใจว่าปริมาณน้ำที่ไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยาปีนี้จะไม่เกิน 2,500 ลบ.ม./วินาทีอย่างแน่นอน แม้จะมีฝนตกทางตอนเหนือจากอิทธิพลของร่องความกดอากาศต่ำก็ตาม
ด้านบริหารจัดการเขื่อนขนาดใหญ่ได้ตามแผน นายฐนโรจน์ กล่าวว่า สถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ปัจจุบันแสดงให้เห็นว่าสามารถบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนี้
1. เขื่อนสิริกิติ์ ปัจจุบันมีความจุ 96% และคาดการณ์ว่าจะมีความจุถึง 100% พอดี ทางการได้ปรับเพิ่มการระบายน้ำเพื่อไม่ให้น้ำล้น
2. เขื่อนภูมิพล ปัจจุบันมีความจุ 89% และยืนยันว่าจะไม่ล้น
3. เขื่อนแควน้อย มีน้ำล้นไปแล้ว แต่ปริมาณน้ำไหลเข้าเขื่อนน้อยกว่าปริมาณน้ำที่ระบายออก ทำให้ระดับน้ำจะเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติภายในระยะเวลาไม่เกิน 1 สัปดาห์
4. เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ในช่วงที่ผ่านมา มีการจัดจราจรน้ำโดยเพิ่มการระบายน้ำสูงสุดเกือบ 600 ลบ.ม./วินาที เพื่อรับมือกับน้ำเหนือที่กำลังจะลงมา
หากไม่มีการเปิดระบายน้ำในช่วงที่ผ่านมา เขื่อนจะล้นอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม ณ วันนี้ ทางการมีความมั่นใจจากการประเมินล่วงหน้า 2 สัปดาห์ว่า สามารถรองรับน้ำฝนที่อาจตกลงมาได้ และได้เริ่มปรับลดการระบายน้ำลงแล้ว
นอกจากนี้ ยังมีแนวโน้มน้ำลดลงต่อเนื่องถึงกลางเดือนตุลาคม โดยปัจจุบัน ปริมาณน้ำที่ผ่านจังหวัดนครสวรรค์ลดลงจากสูงสุด 2,800 ลบ.ม./วินาที เหลือ 2,700 ลบ.ม./วินาที และปริมาณน้ำที่ไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยาซึ่งเคยสูงถึง 2,500 ลบ.ม./วินาที ก็มีอัตราที่ลดลง การบริหารจัดการได้มีการผันน้ำเข้าสู่ฝั่งตะวันตกและฝั่งตะวันออก คาดการณ์ว่าปริมาณน้ำผ่านเขื่อนเจ้าพระยาจะปรับลดลงตามลำดับ เป็น 2,400 ลบ.ม./วินาที และลดลงเหลือ 2,300 ลบ.ม./วินาที ในช่วงกลางเดือนตุลาคมนี้
นายฐนโรจน์ กล่าวว่า แม้จะมีพายุหลายลูกเข้ามาในช่วงที่ผ่านมา เช่น วิภา คาจิกิ หนองฟ้า รากาซา และบัวลอย รวมถึงพายุที่กำลังเข้า ณ ขณะนี้ คือ แมตโม แต่พายุเหล่านี้ไม่ได้ส่งผลกระทบให้เกิดฝนตกหนักในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยามากนัก โดยสรุปภาพรวมสถานการณ์น้ำเหนือกำลังมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง และสามารถรองรับปริมาณน้ำฝนที่อาจจะตกลงมาในช่วงกลางเดือนนี้ได้ และทางการให้ความมั่นใจว่าสถานการณ์น้ำจะสามารถควบคุมได้จนถึงสิ้นเดือนตุลาคม
"ศูนย์อำนวยการน้ำแห่งชาติ ยืนยันสถานการณ์น้ำในลุ่มน้ำเจ้าพระยาอยู่ในภาวะที่ควบคุมได้ และมีความแตกต่างอย่างมากเมื่อเทียบกับวิกฤตปี 2554 แม้ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่จะสูง แต่การบริหารจัดการน้ำดีขึ้นมาก ทำให้ปริมาณน้ำที่ไหลผ่านจุดสำคัญลดลงอย่างต่อเนื่อง และมั่นใจว่าจะสามารถผ่านพ้นฤดูฝนนี้ไปได้ด้วยดี" นายฐนโรจน์ กล่าว
ด้านนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวถึงสถานการณ์น้ำโดยรวม แบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ น้ำฝนที่ตกในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ซึ่งไม่เกี่ยวกับเหตุการณ์ปี 2554 แต่หากตกหนักก็ต้องใช้เวลาในการระบายน้ำในบางจุดที่ต้องปรับปรุงเพิ่มเติม เช่น บริเวณเฉลิมพระเกียรติที่มีฝนตกกว่า 100 มิลลิเมตร ส่วนที่สองคือน้ำเหนือและน้ำหนุน ซึ่งปัจจุบันมีการบริหารจัดการภาพรวมที่ดีขึ้นมาก มีองค์ความรู้และแผนปฏิบัติการที่ชัดเจน โดยสถานการณ์ปัจจุบันอยู่ในสิ่งที่สามารถควบคุมได้ และคาดว่าหากไม่มีพายุขนาดใหญ่เข้ามาเพิ่มเติม สถานการณ์ก็น่าจะผ่านพ้นฤดูฝนไปได้ด้วยดี