หลักสูตรประกาศนียบัตรชั้นสูงนวัตกรรมการจัดการสุขภาพยุคดิจิทัล (HIDA) โดยมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา จัดบรรยายเสริมความรู้เรื่อง Longevity หรือ สุขภาพยั่งยืนอย่างมีคุณภาพ เพื่อเป็นแนวทางในการวางแผนก่อนเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างมีคุณภาพ โดยไม่เป็นภาระของใครให้กับนักศึกษา HIDA รุ่นที่ 5 ที่โรงแรมชาเทรียม ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม ที่ผ่านมา
Lifestyle medicine เปลี่ยนวิถีชีวิต เปลี่ยนอนาคตสุขภาพ
เริ่มต้นด้วยกิจกรรม HIDA Talk โดย ดร.นพ.วุฒิพงษ์ ฐิรโฆไท แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ สถาบันประสาทวิทยา เปิดมุมมองความรู้เรื่อง Lifestyle medicine เวชศาสตร์วิถีชีวิต ซึ่งปัจจุบันถูกนำมาใช้เป็นแนวทางใหม่ทางการแพทย์ ที่ไม่เพียงรักษาอาการ แต่ช่วย “ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เปลี่ยนวิถีชีวิต” เพื่อฟื้นฟูสุขภาพในระยะยาว โดยอาศัยหลัก 6 เสาหลักสำคัญ คือ
- การรับประทานอาหารที่เหมาะสม
- การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
- การนอนหลับที่มีคุณภาพ
- การจัดการความเครียด
- การสร้างความสัมพันธ์ทางสังคมที่ดี
- การหลีกเลี่ยงสารเสพติดและพฤติกรรมเสี่ย
ซึ่งวิธีนี้ไม่เพียงช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรค แต่ยังสามารถควบคุมโรคที่เป็นอยู่ให้ดีขึ้นได้ โดยบางกรณีผู้ป่วยสามารถลดการใช้ยาได้จริง

ดร.นพ.วุฒิพงษ์ ยังกล่าวถึง “Blue Zone” คือพื้นที่ที่มีประชากรมีอายุยืนยาวกว่าค่าเฉลี่ยของโลก หรืออายุ 90 ปี ขึ้นไป และมีสุขภาพแข็งแรงทั้งกายและใจ ปัจจุบันมี Blue Zone ที่ได้รับการยอมรับ 5 แห่งทั่วโลก ได้แก่ โอกินาว่า (ญี่ปุ่น), ซาร์ดิเนีย (อิตาลี), นิโคยา (คอสตาริกา), อิคาเรีย (กรีซ) และโลมาลินดา (สหรัฐอเมริกา)
สิ่งที่น่าสนใจคือ คนในพื้นที่เหล่านี้ ไม่ได้พึ่งยาแพงหรือเทคโนโลยีล้ำสมัย แต่พวกเขามี “วิถีชีวิตที่สมดุล” ทั้งการกินอยู่ ความสัมพันธ์ และทัศนคติที่ดีต่อชีวิต โดยหลักการสำคัญของคนใน Blue Zone มีดังนี้
- กินอาหารธรรมชาติ – เน้นผัก ผลไม้ ถั่ว ธัญพืช และอาหารจากพืชเป็นหลัก
- เคลื่อนไหวอยู่เสมอ – ทำงานบ้าน ทำสวน หรือเดินเท้าในชีวิตประจำวัน
- มีเป้าหมายชีวิต (Purpose) – ตื่นเช้ามาพร้อมเหตุผลในการมีชีวิตอยู่
- พักผ่อนและลดความเครียด – มีช่วงเวลาผ่อนคลาย จิตใจสงบ
- อยู่กับครอบครัวและชุมชนที่อบอุ่น – มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้น ไม่โดดเดี่ยว
ขณะนี้หลายประเทศเริ่มนำแนวคิด Blue Zone มาปรับใช้ในชุมชน เพื่อส่งเสริมสุขภาพแบบองค์รวม เช่น การออกแบบเมืองให้น่าเดิน การสนับสนุนอาหารพื้นบ้านที่ดีต่อสุขภาพ และกิจกรรมชุมชนที่สร้างความสุขใจ
สธ.รับรองการใช้ Stem Cell รักษาโรคเลือด-โรคทางดวงตาเท่านั้น
ต่อมาเป็นการบรรยายเรื่อง Stem Cell ในการแพทย์ โดย รศ.ดร.นพ.นิพัญจน์ อิสรเสนา ณ อยุธยา หัวหน้าศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ด้านสเต็มเซลล์และเซลล์บำบัด โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ระบุว่าปัจจุบันเทคโนโลยีทางการแพทย์ด้าน สเต็มเซลล์ (Stem Cell) ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว นักวิทยาศาสตร์ค้นพบสเต็มเซลล์หลายชนิดที่สามารถพัฒนาเป็นเซลล์ร่างกายได้เกือบทุกแบบ ทำให้เกิดความหวังในการรักษาโรคที่เคยรักษาไม่ได้ เช่น โรคเลือด มะเร็ง หรือโรคที่เกี่ยวกับการเสื่อมของอวัยวะ
ซึ่งขณะนี้มีโรคเพียง 2 กลุ่มเท่านั้นที่ใช้ Stem Cell ในการรักษา ได้แก่ โรคเลือดและโรคทางดวงตา
และมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการใช้สเต็มเซลล์ไขกระดูกมักเกิดจากการโฆษณาเกินจริง หรือการใช้รักษาโรคที่ยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับ โดยในความเป็นจริง สเต็มเซลล์ไขกระดูก (หรือสเต็มเซลล์จากเลือด) ใช้รักษาโรคที่เกี่ยวกับระบบเม็ดโลหิตโดยตรง เช่น โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว หรือโรคธาลัสซีเมีย
ดังนั้น หากมีการอวดอ้างในการใช้ Stem Cell รักษาโรคอื่น หรือใช้สเต็มเซลล์นอกเหนือจากข้อบ่งชี้ทางการแพทย์เหล่านี้ หรือการโฆษณาอ้างสรรพคุณที่เกินจริง เช่น ความสวยงาม โรคตับ โรคไต โรคหัวใจ ทั้งหมดถือว่าผิดมาตรฐาน และผิดประกาศของกระทรวงสาธารณสุขทั้งหมด พร้อมเตือนประชาชนให้ระวังการโฆษณาชวนเชื่อเกี่ยวกับการรักษาด้วยสเต็มเซลล์ เพราะอาจเสียค่าใช้จ่ายสูงโดยไม่ได้ผล และอาจเกิดอันตรายต่อร่างกายได้
ศาตร์ชะลอวัย แพทย์แผนไทยและจีน เน้นปรับสมดุลดูแลองค์รวมร่างกาย-จิตใจ

ปิดท้ายด้วยกิจกรรม Workshop ชะลอวัยแผนไทยและจีน โดย ผศ.ดร.พท.ป.ศุภะลักษณ์ ฟักคำ ประธานหลักสูตรวิทยาศาสตรมหาบัณฑิตและปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาการแพทย์แผนไทยประยุกต์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา และอาจารย์แพทย์จีน ภูกิจ เล้าจีรัณกุล จากวิทยาลัยสหเวชศาสตร์ ที่เน้นการบูรณาการองค์ความรู้สองศาสตร์เข้าด้วยกัน
ซึ่งการชะลอวัยตามศาสตร์การแพทย์แผนไทยและจีน เน้นการปรับสมดุลภายในร่างกาย สุขภาพจิตใจ และการดูแลองค์รวม โดยแพทย์แผนไทย ใช้การตรวจธาตุเจ้าเรือนเป็นการประเมินสุขภาพ โดยพิจารณาธาตุประจำตัวของแต่ละบุคคล (ดิน น้ำ ลม ไฟ) ซึ่งติดตัวมาแต่กำเนิด หรือธาตุปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงไปตามสิ่งแวดล้อมและพฤติกรรม การตรวจจะช่วยให้เข้าใจลักษณะทางกายภาพ บุคลิกภาพ และอุปนิสัย เพื่อนำไปสู่การดูแลสุขภาพที่เหมาะสม เช่น การเลือกรับประทานอาหารที่ช่วยปรับสมดุลร่างกาย
ส่วนแพทย์แผนจีน เน้นการปรับสมดุล หยิน-หยาง และพลัง ชี่ ในร่างกาย เช่น ปรับเปลี่ยนอาหาร เลือกอาหารที่มีฤทธิ์เย็น (หยิน) เช่น แตงโม ฟัก หรืออาหารที่มีฤทธิ์ร้อน (หยาง) เช่น ขิง พริก ให้เหมาะสมกับสภาพร่างกาย ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกาย และจัดการกับความเครียด และใช้การฝังเข็ม, ยาสมุนไพร, กัวซา, และนวดเพื่อส่งเสริมการไหลเวียนเลือดและความแข็งแรงของอวัยวะภายใน
สำหรับหลักสูตร HIDA รุ่นที่ 5 มีดร.สมชาย อัศวเศรณี เป็นประธานหลักสูตรฯ และพล.อ.ท.(ญ) ดร.พัชรี พิพิธสุขสันต์ เป็นผู้อำนวยการหลักสูตร ที่มีการบูรณาการศาสตร์การแพทย์ 6 ศาสตร์ ได้แก่ การแพทย์แผนปัจจุบัน แพทย์แผนไทย แพทย์แผนจีน ดุลยภาพบำบัด โฮมีโอพาธีย์ และ ศาสตร์แห่งความสุข เพื่อสร้างผู้บริหารที่พร้อมนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมไปใช้พัฒนาระบบสุขภาพไทยอย่างยั่งยืน