บอย อินชัวร์
ปัจจุบันคนไทยไม่น้อยได้ถูกชักชวนให้ซื้อกรมธรรม์ประกันชีวิตในต่างประเทศ สิ่งที่น่ากังวลคงจะเป็นเรื่องเงื่อนไขความคุ้มครองที่อาจไม่ตรงตามเงื่อนไขและความคุ้มครอง ซึ่งอาจมีปัญหาในการเคลมตามมา เพราะกรมธรรม์แต่ละฉบับมีเงื่อนไขที่แตกต่างกัน และบริษัทประกันอาจปฏิเสธการเคลมได้ หากอยู่นอกเหนือข้อตกลงที่ระบุไว้ ดังนั้นสิ่งที่ผู้ซื้อควรรู้ และต้องพิจารณาเมื่อซื้อประกันชีวิตในต่างประเทศ มีข้อควรระวังยังไง เราคงจะต้องหาคำตอบจากกูรูผู้รู้เรื่องนี้กันไว้น่าจะเป็นเรื่องดีเสียกว่า ต้องมาน้ำตาตกกันภายหลังกัน โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์
โดยล่าสุดนายบรรยง วิทยวีรศักดิ์ กูรูวงการการเงินและประกันภัย และอดีตประธานสมาคมที่ปรึกษาการเงินแห่งเอเชียแปซิฟิก (APFinSA) ได้โพสต์บนเพจเฟสบุ๊คถึง การซื้อหรือขายกรมธรรม์ต่างประเทศ ต้องระวังอะไรบ้าง พอดีว่า ในยุคโลกไร้พรมแดน การซื้อขายสินค้าจากต่างประเทศ ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่ธรรมดาและเราคุ้นเคยกันดี
แต่ประกันชีวิตไม่เหมือนสินค้าอื่น เพราะเวลาที่เราจ่ายเงินเพื่อซื้อกรมธรรม์ประกันชีวิต เรายังไม่ได้ใช้บริการ และเมื่อถึงวันที่เราจะใช้บริการ เราอาจจะพบว่าสิ่งที่เราเรียกร้องนั้น ไม่ตรงกับเงื่อนไขที่ระบุไว้ในกรมธรรม์
นี่จึงเป็นเหตุผลให้สินค้าประกันชีวิตเป็นสินค้าควบคุม ที่อยู่ภายใต้การตรวจสอบดูแลของรัฐอย่างเข้มงวด
อย่างไรก็ตาม หากผู้บริโภคคิดว่า ตนมีความรู้ที่ดีพอที่จะตัดสินใจได้ ก็สามารถเดินทางไปซื้อที่ต่างประเทศ หรือซื้อผ่านระบบออนไลน์ได้ด้วยตนเองที่บ้าน
แต่รัฐ โดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัยหรือ คปภ. ยังไม่อนุญาตให้ตัวแทนประกันชีวิตไทย ขายผลิตภัณฑ์ของต่างประเทศ หรือยังไม่ยอมให้ตัวแทนประกันชีวิตต่างประเทศ บินเข้ามาขายผลิตภัณฑ์ของเขา บนผืนแผ่นดินไทย ถ้าฝ่าฝืนก็จะมีความผิด
ในเมื่อรัฐไม่ยอมให้มีการซื้อขายผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตต่างชาติบนผืนแผ่นดินไทย ทำไม ผู้บริโภคบางคนยังอยากซื้อผลิตภัณฑ์เหล่านั้น
คำตอบง่ายๆก็คือ คนเราชอบของถูก ของที่ดีกว่า หรือของที่แปลกกว่า ซึ่งไม่สามารถซื้อในประเทศไทยได้
เป็นที่ทราบกันดีว่า เบี้ยประกันชีวิตของประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น สิงคโปร์และฮ่องกง ถูกกว่าของไทย 20-30%
ทำไม จึงเป็นเช่นนั้น
สาเหตุมาจากการที่อัตรามรณกรรมของชาวสิงคโปร์/ฮ่องกงดีกว่าคนไทย เพราะอะไรเหรอครับ
1. คุณภาพชีวิตของเขาดีกว่า ระบบสาธารณสุขดีกว่า ทำให้ช่วยรักษาและยืดอายุประชาชนของเขาได้ดีกว่า
2. คนไทยประสบอุบัติเหตุและบาดเจ็บได้ง่ายกว่าชาวสิงคโปร์/ฮ่องกง เนื่องจากประเทศไทยเป็นประเทศที่มีอุบัติเหตุบนท้องถนนสูงในระดับต้นๆของโลก ขณะเดียวกันก็มีภัยที่ประเทศอื่นไม่มีหรือมีน้อย เช่น การยกพวกตีกัน การจี้ปล้น การก่อจลาจลและการปะทะกันทางการเมือง
3. การเรียกร้องสินไหมทุจริต ของไทยมีมากกว่าสิงคโปร์ ทั้งที่มาจากการเลียนแบบตามๆกันมา รวมถึงเทคโนโลยีในการตรวจสอบของบริษัทประกันชีวิตไทยที่สู้ต่างประเทศไม่ได้
4. ต้นทุนการบริหารต่ำกว่า เพราะต่างประเทศใช้เทคโนโลยีมาช่วยในการบริหารจัดการ ไม่ว่า เรื่องการพิจารณารับประกัน หรือการพิจารณาสินไหม ทำให้ควบคุมต้นทุนได้ดีกว่า
5. การลงทุนที่หลากหลายกว่า ทำให้ได้ผลตอบแทนจากการลงทุนมากกว่า จึงสามารถลดเบี้ยประกันลงมาแข่งขันได้มากขึ้น
เมื่อภัยของเราสูง เบี้ยประกันจึงแพงกว่า แต่เวลาเราไปซื้อกรมธรรม์ของต่างประเทศ เขาใช้อัตรามรณะของประเทศเขา หรือเบี้ยประกันของคนท้องถิ่นมาคิดกับเรา ทำให้เบี้ยประกันถูกกว่าที่ขายในประเทศไทย
แต่มันไม่มีอะไรที่ได้มาฟรีๆ ในดีย่อมมีเสียปะปนอยู่เสมอ
หากเราซื้อกรมธรรม์ของต่างประเทศ ไม่ว่าสิงคโปร์หรือฮ่องกง จะมีผลเสียอะไรบ้าง
1. ไม่ได้รับการคุ้มครองจากคปภ.
ในกรณีที่เรามีข้อโต้แย้งกับบริษัทประกันชีวิตต่างชาติ คปภ.จะไม่เข้ามายุ่งเกี่ยว เพราะถือว่าไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ในความดูแลของคปภ.
2. ไม่ได้รับการลดหย่อนภาษี
ประมวลรัษฎากรระบุไว้ว่า เบี้ยประกันที่จะใช้ลดหย่อนภาษีได้นั้น ต้องเป็นเบี้ยประกันที่ซื้อจากกรมธรรม์ของบริษัทในประเทศ
3. ไม่ได้รับความคุ้มครองจากกองทุนประกันชีวิตของไทย
หากท่านซื้อกรมธรรม์จากบริษัทประกันชีวิตของไทย หากบริษัทนั้นล้มไป กองทุนประกันชีวิตจะเข้ามาดูแล โดยการชดเชยเงินคืนให้ท่าน ตามภาระผูกพันที่มีอยู่ในกรมธรรม์ แต่ไม่เกิน 1 ล้านบาท ในขณะที่ถ้าท่านซื้อประกันชีวิตจากบริษัทต่างชาติ ท่านจะไม่ได้รับการคุ้มครองตามเงื่อนไขนี้
4. กรมธรรม์ต่างชาติ เข้าใจยากกว่า
เนื้อหาในกรมธรรม์ของทุกประเทศ มักเขียนไว้อย่างรัดกุมและซับซ้อน ขนาดกรมธรรม์ฉบับที่เขียนเป็นภาษาไทย เรายังต้องอ่านหลายครั้งเพื่อตีความ หากเป็นภาษาอังกฤษหรือภาษาจีน เกิดเราเข้าใจผิดในส่วนที่เป็นสาระสำคัญ ก็จะทำให้เราเรียกร้องสินไหมไม่ได้อย่างที่ต้องการ หรือได้เงินคืนตอนครบสัญญาไม่ตรงกับความเข้าใจของเรา
5. เป็นภาระให้ผู้รับประโยชน์
หากซื้อประกันชีวิตของไทย แล้วผู้เอาประกันภัยเสียชีวิต ผู้รับประโยชน์ยังสามารถเรียกร้องสินไหมและติดตามผลได้ง่าย หากไม่มีตัวแทนดูแล ก็สามารถไปติดตามที่บริษัทประกันชีวิตโดยตรง หรือเรียกร้องผ่านสำนักงานคปภ.ให้เขาช่วยดูแลให้ได้ แต่ถ้าเป็นต่างประเทศ ท่านคิดว่าผู้รับประโยชน์ของท่านจะมีความสามารถไปเรียกร้องสินไหมได้ง่ายๆหรือไม่ อันนี้ผมไม่แน่ใจ
คราวนี้ มาที่ฝั่งคนขายบ้าง ได้ข่าวมานานแล้วว่า ตัวแทนประกันชีวิตไทย ทำตัวเป็นนายหน้าส่งลูกค้าให้กับตัวแทนประกันชีวิตต่างชาติ โดยการนำโบชัวร์ไปชี้ชวนให้คนไทยซื้อผลิตภัณฑ์ต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็นประกันชีวิตหรือประกันสุขภาพ ซึ่งน่าจะมีอัตราเบี้ยประกันที่ถูกกว่า หรือคุ้มครองสูงกว่า แล้วได้รับค่านายหน้าที่ตัวแทนประกันชีวิตต่างชาติหักแบ่งไว้ให้
บางครั้งดูเหมือนกับตัวแทนประกันชีวิตคนนั้นหวังดี เพราะผลิตภัณฑ์ในประเทศไทยไม่ตอบโจทย์ ก็เลยแนะนำผลิตภัณฑ์ในต่างประเทศเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าแต่ละท่าน
แต่ทราบหรือไม่ว่า การทำเช่นนั้นอาจทำลายอนาคตท่านอย่างร้ายแรง
ผมเคยสอบถามเรื่องนี้กับคุณอดิศร พิพัฒน์วรพงศ์ รองเลขาธิการสายกฎหมายและคดี ของสำนักงานคปภ. ว่าตัวแทนประกันชีวิตไทย จะชี้ช่องชักชวนให้ผู้บริโภคไทย ซื้อประกันชีวิตหรือประกันสุขภาพของบริษัทต่างชาติได้หรือไม่ ท่านยืนยันหนักแน่นว่า หากคปภ.จับได้และมีหลักฐานชัดเจน ตัวแทนประกันชีวิตคนนั้นจะถูกถอนใบอนุญาตทันที
เราอาจจะคิดว่าไม่เป็นไร เพราะมันเป็นการร่วมมือกันทั้งสองฝ่าย ลูกค้าก็อยากได้ของถูกของดี ตัวแทนก็อยากได้ค่านายหน้า แต่ผมอยากจะฝากข้อคิดไว้ว่า พวกเรามีอุทาหรณ์มากมายในธุรกิจประกันชีวิต ในวันที่ซื้อประกันชีวิต ทั้งสองฝ่ายอาจจะมีความรู้สึกที่ดีต่อกัน แต่ถึงวันหนึ่ง หากมีความขัดแย้งกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องส่วนตัว หรือมีการเรียกร้องสินไหมแล้วไม่ได้จำนวนเงินที่ลูกค้าต้องการ สิ่งที่เคยเป็นความลับระหว่างกัน อาจจะถูกนำมาแฉ เพื่อเป็นการล้างแค้นต่อตัวแทนประกันชีวิตก็ได้
ตัวแทนบางคนทำธุรกิจมา 20 ปี 30 ปี หากการแฉหรือร้องเรียนครั้งนั้น ลูกค้านำหลักฐานใบเสนอขายที่ตัวแทนเคยพิมพ์และนำไปชักชวนลูกค้า มาฟ้องสำนักงานคปภ. ทำให้ตัวแทนคนนั้นต้องถูกถอนใบอนุญาต ลองคิดดูสิครับ เราทำงานนี้มาตลอดชีวิต ในวัยชราก็หวังจะได้เก็บกินจากกรมธรรม์ที่เคยขายไว้ กลับต้องสูญเสียธุรกิจไปทั้งหมด
ต้องบอกก่อนว่า ผมไม่ได้มีส่วนได้เสียกับเรื่องทำนองนี้ ไม่มีลูกค้าของผมไปซื้อกรมธรรม์ต่างประเทศ หรือผมถูกตัวแทนประกันชีวิตต่างประเทศมาแย่งลูกค้าไป เพียงแต่มีเพื่อนตัวแทนประกันชีวิตมาสอบถามว่า ถูกเพื่อนตัวแทนด้วยกันชวนลูกค้าของเขาให้ไปซื้อผลิตภัณฑ์ของต่างชาติ เธออยากรู้ว่า มันสามารถทำได้หรือไม่ได้อย่างไร จะได้ชี้แจงให้ลูกค้าทราบข้อดีข้อเสีย เพราะตอนตัวแทนคนนั้นมาชวน ก็คงบอกแต่ข้อดีว่าเบี้ยประกันถูกกว่าหรือการคุ้มครองสูงกว่า ผมจึงเขียนบทความนี้ขึ้นมา เป็นข้อมูลกับผู้บริโภคและตัวแทนประกันชีวิตในเรื่องเหล่านี้
อาจจะมีคำถามเกิดขึ้นมาว่า แล้วถ้าตัวแทนประกันชีวิตต่างชาติบินเข้ามาขายในประเทศไทยล่ะ ทำได้ไหม คำตอบคือ เขาต้องสอบใบอนุญาตตัวแทนประกันชีวิตไทยเสียก่อน ซึ่งคุณจันทรา บูรณฤกษ์ อดีตเลขาธิการคปภ.เคยกล่าวไว้ในสมัยที่ท่านเป็นเลขาธิการว่า ถ้าใครจะมาขายประกันชีวิตที่ประเทศไทย เขาต้องสอบใบอนุญาตตัวแทนประกันชีวิตก่อน ปัญหาคือ ข้อสอบเราเป็นภาษาไทย เขาจะสอบได้ไหมล่ะ ถ้าเขายังไม่มีใบอนุญาต แต่ดันมาขาย ตามกฏหมายไทย การทำสัญญาหรือรับเบี้ยประกันชีวิตโดยไม่มีใบอนุญาต จะถูกปรับ 200,000 บาท จำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือทั้งจำและปรับ
จึงเหลือช่องทางอยู่ช่องทางเดียวคือ ผู้บริโภคต้องบินไปซื้อที่สิงคโปร์/ฮ่องกงหรือไม่ก็ซื้อออนไลน์ด้วยตัวเอง ซึ่งตอนซื้อน่าจะซื้อง่าย แต่ตอนเรียกร้องสินไหม ผมไม่แน่ใจครับ เพราะบริษัทกับลูกค้าไม่เคยเจอตัวกันมาก่อน เขาจะขอหลักฐานเพื่อพิสูจน์ตัวตนอย่างไร อันนี้ผมไม่ทราบ รู้เพียงแต่ว่าทุกวันนี้ มีคนไปซื้อกรมธรรม์ต่างประเทศน้อยมากครับ ไม่ถึง 0.01%
ที่พอจะได้ยินบ้างก็คือ เจ้าสัวที่มีธุรกิจในต่างประเทศ เมื่อบินไปต่างประเทศ ก็ถือโอกาสซื้อที่ประเทศนั้นๆเลย อันนั้นเป็นไปได้ เพราะเขามีคนรู้จักชี้ช่องแนะนำให้ครับ
ข้อเขียนในวันนี้ ไม่มีเจตนาที่จะดักคอหรือขัดผลประโยชน์ของใคร แต่อาศัยว่าผู้เขียนทำธุรกิจนี้มานาน และอยู่ใกล้ชิดแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ ไม่ว่าจะเป็นสำนักงานคปภ.หรือผู้บริหารบริษัทประกันชีวิต จึงสามารถหาข้อเท็จจริงมาตอบพวกเราได้
พวกเราจะได้ไม่ต้องทำผิดต่อๆกันมา เหมือนสำนวนไทยที่ว่า “ผิดแล้วให้รีบแก้ อย่ารอให้แย่ แล้วอาจจะแก้ไม่ไหว”ครับ
#ประกันชีวิต #ซื้อประกันต่างประเทศ #ความคุ้มครอง #คปภ #การเงินการลงทุน #วางแผนการเงิน #สิทธิผู้บริโภค #ข้อควรระวัง #ภาษี #ประกันชีวิตต่างประเทศ