ทวี สุรฤทธิกุล
วันนี้จะขอเชื่อน้ำยานักการเมืองสักวัน ที่ท่านบอกว่าจะยุบสภาในปลายเดือนมกราคมและมีเลือกตั้งใหม่อย่างแน่นอน แม้อาจจะ “ลม ๆ แล้ง ๆ” ก็จะลองยอมเชื่ออีกสักครั้ง
ในตำรารัฐศาสตร์บอกไว้ว่า การเลือกตั้งคือการใช้อำนาจของประชาชนในระบอบประชาธิปไตย เพื่อที่จะเลือกคนมาบริหารและปกครองประเทศ แต่นักการเมืองได้ใช้การเลือกตั้งนี้เป็น “เกม” หรือการแข่งขันที่จะเอาแพ้ชนะกัน ถึงขั้นที่เอาประชาชนมาต่อสู้กัน แบ่งฝักแบ่งฝ่าย และเอาแพ้เอาชนะอย่างเอาเป็นเอาตาย ที่สุดระบอบนั้นก็ไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตย ที่อำนาจต้องมาจากประชาชน เพราะกลายเป็นว่านักการเมืองเข้าครอบงำประชาชน และฉกฉวยอำนาจนั้นไปจากประชาชน ดังที่เห็นกันอยู่ในหลาย ๆ ประเทศ
ผู้เขียนในสมัยที่เป็นคณบดีที่สาขาวิชารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ก็เป็นช่วงเดียวกันกับ “ทักษิณครองเมือง” ได้มีโอกาสพบปะนักวิชาการจากนานาประเทศอยู่บ่อย ๆ ครั้งหนึ่งได้คุยกับนักวิชการจากเกาหลีใต้และญี่ปุ่น เขาได้ถามปัญหาเดียวกันกับผู้เขียนว่า “ทำไมคนไทยจึงขายเสียงในการเลือกตั้ง” เพราะในประเทศทั้งสองนี้ไม่มี แต่เขาสู้กันด้วยนโยบาย และประชาชนในประเทศของเขา(ทั้งเกาหลีใต้และญี่ปุ่น)ไม่มีการขายเสียง ทั้งที่ประชาธิปไตยในประเทศของเขาทั้งสองเกิดทีหลังประเทศไทย
ผู้เขียนตอบเขาตามความรู้ที่ได้ศึกษามา ซึ่งตอนนั้นเราเพิ่งผ่านยุคปฏิรูปการเมืองมาได้ไม่นาน บอกว่าเรามีรัฐธรรมนูญ 2540 ซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับนี้ให้มีคณะกรรมการการเลือกตั้ง เพื่อจัดการกับปัญหาการซื้อเสียงนี้ แต่คณะกรรมการการเลือกตั้งก็ทำงานได้ดีเพียงในการเลือกตั้งครั้งแรก ๆ คือการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2543 กับการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใน พ.ศ. 2544 ที่มีการเอาผิดคนที่ซื้อเสียงได้บ้าง พอมาถึงการเลือกตั้งในปี 2548 ก็เข้าอีหรอบเดิม คือมีการซื้อเสียงกันกระหึ่ม เกิดขบวนการต่อต้านทักษิณ โดยกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หรือที่เรียกว่า “ม็อบเสื้อเหลือง” พอดีกับที่ทักษิณมีปัญหาเรื่องการขายหุ้นให้เทมาเส็กโดยไม่โดยภาษี ความวุ่นวายก็ยิ่งมากขึ้น ทักษิณยุบสภาแล้วมีการเลือกตั้งใหม่ในต้นปี 2549 แต่ก็ยังวุ่นวาย มีคนไปร้องให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ แล้วยุบพรรคไทยรักไทย ตามมาด้วยรัฐประหารในวันที่ 19 กันยายน 2549 แล้วเลือกตั้งใหม่ในปลายปี 2550 แต่การซื้อเสียงก็ยิ่งรุนแรงขึ้น ในขณะที่คณะกรรมการการเลือกตั้งชุดใหม่ก็ยังทำงานไม่ได้เรื่อง หลังจากที่มีการเอาคณะกรรมการชุดก่อนเข้าคุก ในความผิดที่มีการกระทำที่เป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับพรรคไทยรักไทย เพราะไม่เอาผิดเรื่องที่พรรคไทยรักไทยจ้างพรรคเล็ก ๆ ให้มาลงเป็นคู่แข่ง เพื่อให้พรรคไทยรักไทยชนะเลือกตั้งตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด นั่นก็คือการเลือกตั้งในประเทศไทยนั้นไม่ได้มีแค่การซื้อเสียงจากผู้ใช้สิทธิ์เลือกตั้ง แต่ยังซื้อไปถึงพรรคการเมืองอื่น ๆ นั้นด้วย เรียกว่ามีการซื้อเสียงแผ่ขยายไปมากกว่าอดีตเสียอีก
ผู้เขียนสรุปให้นักวิชาการจากเกาหลีใต้และญี่ปุ่นฟังว่า การซื้อเสียงในสังคมไทยน่าจะแก้ไขได้ยาก ทั้งนี้น่าจะเกิดจากสังคมไทยเป็นสังคมอุปถัมภ์ คนไทยเกรงกลัวผู้มีอำนาจ ที่เรียกว่าวัฒนธรรมทางการเมืองแบบอำนาจนิยม การรับเงินแรก ๆ อาจจะเป็นการรับด้วยความโลภ คือมีคนให้ก็รับเอาไว้ หรือเห็นคนอื่นรับก็รับตาม ๆ กันไป แต่ในการเลือกตั้งเกิดมีการแลกเปลี่ยนกับชัยชนะ จึงมีการข่มขู่หรือทำให้เกรงใจ จนกระทั่งเกิดความเกรงกลัว ถ้าจะไม่รับก็คือปฏิเสธว่าไม่ใช่พวกเดียวกัน ถ้าไม่ทำอะไรตามที่ร้องขอก็จะ “มองหน้ากันไม่ได้” จนถึง “อยู่ร่วมโลกกันไม่ได้” นั่นคือความเป็นระบบอุปถัมภ์ในสังคมไทย ที่คนไทยไม่ได้ตระหนักว่า “ตนนั้นเป็นที่พึ่งแห่งตน” แต่ต้องพึ่งคนอื่นจึงจะอยู่รอด ซึ่งก็ไม่ได้มีวิถีชีวิตในวัฒนธรรมทางการเมืองแบบประชาธิปไตย ที่ทุกคนต้องเชื่อมั่นในพลังอำนาจของตนเอง และมีความคิดที่อิสระจากการครอบงำใด ๆ
ที่เล่าเรื่องการพูดคุยทางวิชาการกับชาวต่างประเทศข้างต้น ก็เพื่อที่จะบอกว่าชาวต่างประเทศมองการเมืองของประเทศไทย “แปลกประหลาด” แตกต่างไปจากประเทศของเขาอย่างไร ซึ่งเหตุผลสำคัญที่ประเทศไทยเรายังพัฒนาประชาธิปไตยไปไม่ถึงไหน ก็เป็นด้วย “วัฒนธรรมทางการเมือง” ที่เรามีความแตกต่าง ทั้งนี้แม้ว่าเราจะได้พยายามแก้ไขปัญหาต่าง ๆ รวมถึงพยายามที่จะสร้างวัฒนธรรมทางการเมืองแบบประชาธิปไตยนั้นให้เกิดขึ้น ก็คงจะต้องพยายามทำต่อไป หรือไม่ก็ต้องพยายามสร้าง “โครงสร้างทางการเมือง” คือ กลไกและกระบวนการต่าง ๆ ทางการเมือง ให้สอดคล้องกับวัฒนธรรมทางการเมืองที่เราเป็นอยู่ ซึ่งที่กำลังจะทำกันอยู่ในเวลานี้ก็คือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก็ควรจะคำนึงถึงเรื่องนี้ด้วย
มาดูเรื่องที่จั่วหัวไว้ของบทความนี้ เรื่องการเลือกตั้งครั้งใหม่ ซึ่งถ้าเป็นไปตามความจริงทางการเมืองข้างต้น เราก็คงจะยังเห็นการซื้อเสียงกันขนานใหญ่กันอีกต่อไป โดยพรรคการเมืองต่าง ๆ ที่จะต้องมีการแข่งขันกันหนักหน่วงยิ่งขึ้น ในขณะที่คณะกรรมการการเลือกตั้งทำหน้าที่ได้แย่ลง ๆ ไปทุกวัน (มีข่าวจากวงในแจ้งมาว่า คดีความต่าง ๆ ใน กกต.ที่ล่าช้า เพราะผู้บริหารบางคนกำลังจะเกษียณ จึงรอให้ตนเองเกษียณเสียก่อน เพื่อให้คนอื่นมารับผิดชอบต่อ ซึ่งวัฒนธรรม “ดองเรื่องรอเกษียณ” นี้ ทำกันมานานจนกลายเป็นวัฒนธรรมในการทำงานของที่ กกต.แล้ว) ดังนั้นในช่วง 4 เดือนก่อนที่จะมีการยุบสภาในปลายเดือนมกราคมปีหน้านั้น ทุกพรรคก็คงจะต้องระดมกำลัง “กักตุนกระสุนดินดำ” กันจ้าละหวั่น เพื่อเอาไปใช้ซื้อเสียงเลือกตั้งเมื่อถึงเวลา
ผู้เขียนได้มีโอกาสพูดคุยกับนักวิชาการในฝ่ายที่เรียกว่าเสรีนิยมอยู่บ้าง หลายคนบอกว่าน่าเสียดายพลังของพรรคการเมืองในฝ่ายเสรีนิยมที่กำลังอ่อนตัวลง อันเป็นผลจากที่ถูกลงโทษจากนิติสงครามหลายครั้ง กับการดำเนินการทางการเมืองที่ผิดพลาด เช่นในครั้งล่าสุดที่หันมาสนับสนุนพรรคภูมิใจไทยจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย และให้นายอนุทิน ชาญวีระกูล ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งแน่นอนว่าพรรคการเมืองในฝ่ายอนุรักษ์นิยมที่ขึ้นมาเป็นรัฐบาลนี้ คงไม่ปล่อยให้พรรคประชาชนหรือพรรคในฝ่ายเสรีนิยมอื่น ๆ ขึ้นมาเป็นคู่แข่งอย่างแน่นอน ดังนั้นพรรคในฝ่ายเสรีนิยมจึงต้องพยายามหาทางสู้อีกครั้งด้วย “นโยบายจึ้ง ๆ” ที่จะดึงดูดและสร้างกระแสให้ผู้คนมาสนใจเลือกพรรคในแนวเสรีนิยมนี้อีกครั้ง ซึ่งก็คือคนรุ่นใหม่และคนที่เบื่อพรรคในแนวอนุรักษ์นิยมนั้น
เราอาจจะได้เห็นนโยบาย “ใหม่ ๆ แรง ๆ” เพื่อที่จะสร้าง “กระแสสู้กระสุน” แน่นอนว่าต้องเป็น “นโยบายดี ๆ” ที่ถูกใจประชาชนนั้นด้วย ไม่ว่าจะเป็นในฝ่ายกระแสหรือกระสุน
เชื่อว่าประเทศไทยคงจะยังต้องมีทั้งสองอย่าง คนที่ยังโลภและกลัวผู้มีอำนาจก็มีความสบายใจ ส่วนคนที่เป็นอิสระและเชื่อมั่นในตนเองก็จะได้มีความหวังในระบอบประชาธิปไตยต่อไป
#การเมืองไทย #เลือกตั้ง #นโยบายดีๆ #ประชาธิปไตย #ซื้อเสียง #อนาคตการเมือง #สิทธิประชาชน #เลือกตั้ง2569