สวมหัวโขนอยู่ 2 ปี นายภูมิธรรม เวชยชัย ที่เคยเป็นทั้งรองนายกรัฐมนตรี ควบคู่กับเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ สมัยที่มี นายเศรษฐา ทวีสิน บุญหล่นทับ เล่นการเมืองสมัยแรกก็ได้เป็นนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทยเลย แต่ก็ต้องมาตายน้ำตื้น จากการปรับ ครม.เศรษฐา 2 ไม่รู้ไปเอาอะไรมามั่นใจ ว่า การแต่งตั้งให้ นายพิชิต ชื่นบาน ทนายความตระกูลชินวัตร ให้มานั่งเก้าอี้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ สามารถกระทำได้
เพราะ....นายพิชิต ชื่นบาน เคยผ่านคุกตารางมาแล้วในคดี "ถุงขนม" ทำให้ขาดคุณสมบัติอย่างร้ายแรงต่อการนั่งตำแหน่งรัฐมนตรี
แค่คำพิพากษาจำคุก แต่ศาลท่านเมตตาให้มีการรอลงอาญาไว้ก่อน โดยไม่ต้องถูกจำคุกจริง ยังไม่สามารถดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีได้เลย ดั่งเช่น นายไผ่ ลิกค์ เลขาธิการพรรคกล้าธรรม ต้องนั่งจั่วลมอดเป็นรัฐมนตรีมาครั้งแล้วครั้งเล่า ก็เพราะเคยถูกคำสั่งศาลให้รอลงอาญามาแล้ว
สำมะหาอะไร กับ นายพิชิต ชื่นบาน ถูกจำคุกจริงนานถึง 6 เดือน ได้เลื่อนชั้นขึ้นเป็นรัฐมนตรี เป็นความผิดที่หนีไม่พ้นของคนมีอำนาจแต่งตั้ง ซึ่งก็คือ นายเศรษฐา ทวีสิน ต้องมลทินฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างรุนแรง และแสดงให้เห็นว่าไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์
ส่วนตัวนายพิชิต ชื่นบาน มีพื้นฐานความรู้ข้อกฎหมายเป็นอย่างดี ชิงหนีความผิดอย่างฉิวเฉียด ชิงลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีฯ ก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัย
การชิงลาออกก่อนศาลฯ จะอ่านคำวินิจฉัย ที่ผู้ร้องขอให้พ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรี จึงมีผลให้ศาลฯ ท่านไม่ต้องวินิจฉัย เพราะผู้ถูกร้องไม่มีตำแหน่งให้ต้องวินิจฉัยแล้ว
จึงมีคำถามไล่หลังคำวินิจฉัยให้ นายเศรษฐา ทวีสิน พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีว่า เหตุใด ไม่ชิงลาออกจากนายกรัฐมนตรี เหมือน นายพิชิต ชื่นบาน เล่า ไปเข้าใจอะไรผิดๆ คิดว่า นายพิชิต ชื่นบาน เป็นต้นเหตุหรืออย่างไร เมื่อลาออกแล้วคดีจะยุติ
ข้อเท็จจริงตรงข้ามกันเลยครับ นายเศรษฐา ทวีสิน ในฐานะนายกรัฐมนตรี เป็นผู้เสนอรายชื่อรัฐมนตรีเพื่อโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง และ ต้องเป็นผู้รับผิดชอบในฐานะผู้สนองพระบรมราชโองการ
เรียงฐานะความผิด นายเศรษฐา ทวีสิน คือ จำเลยที่ 1 และ นายพิชิต ชื่นบาน อยู่ในฐานะ จำเลยที่ 2 มากกว่า
คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างมากจึงชอบแล้ว สมเหตุสมผล ไม่ใช่วาทกรรมใดๆ ที่จะดิสเครดิตกระบวนการยุติธรรมไทย กล่าวหาว่าเป็น "นิติสงคราม"
ความจริงเป็นกฎแห่งกรรมที่กฎหมายสอดเข้ามารองรับอย่างเหมาะเจาะ
กฎแห่งกรรมยังดำเนินต่อไป จะทำกรรมสิ่งใดไว้ย่อมได้รับผลแห่งกรรมนั้น หมดยุครัฐบาลเศรษฐา ประเทศไทยก็มี รัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ก้าวขึ้นนำพรรคตัวจริงเสียงจริง นายภูมิธรรม เวชยชัย ยังคงอยู่ในตำแหน่ง "พระพี่เลี้ยงรัฐบาล"
เป็นรองนายกรัฐมนตรีลำดับที่ 1 ควบคู่กับเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กำกับดูแลงานความมั่นคงและกระทรวงยุติธรรม ที่ยังเหนียวแน่นกับรัฐมนตรีคนเดิม คือ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เป็นรัฐมนตรียุติธรรม ที่มีหน่วยงานสำคัญอยู่ภายใต้การกำกับ คือ กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือที่เรียกชื่อย่อๆ ว่า ดีเอสไอ
มีการกล่าวกันว่า การสรรหาการได้มาของ 250 สว. พบว่า มีการใช้เงินมาซึ่งการฮั้วอย่างโจ๋งครึ่ม การได้มาซึ่ง สว.กว่า 138 คน เป็นกลุ่มก้อนเดียวกัน ภายใต้การกำกับของ "บ้านใหญ่บุรีรัมย์" คุมเสียง สว.เกินครึ่ง เสมือนหนึ่งคุมเกมการเมืองของประเทศไทยไว้ในกำมือ จากการมีอำนาจแต่งตั้งคณะกรรมการองค์กรอิสระ
มีการกล่าวหาว่า 138 สว. เป็น สว.สีน้ำเงิน ซึ่งเป็นสีประจำพรรคภูมิใจไทย
นายภูมิธรรม เวชยชัย ในฐานะ ประธานคณะกรรมการพิจารณาคดีพิเศษ และ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เจ้ากระทรวงยุติธรรม กำกับดูแลกรมสอบสวนคดีพิเศษ มีความเห็นให้นำคดี "ฮั้ว สว." เข้าสู่เส้นทางอำนาจของกระทรวงยุติธรรม ด้วยการให้คณะกรรมการรับเป็นคดีพิเศษ เจตนาเพื่อบาลานซ์อำนาจพรรคภูมิใจไทย
การประชุมพิจารณาครั้งแรกต้องล้มเหลว เพราะ กรรมการสายตำรวจใหญ่ นกรู้ดูกฎหมายเป็นอ่านเกมการเมืองออก จึงอ้างเหตุลากิจ ลาป่วย ไม่มาประชุม จนต้องนัดประชุมครั้งต่อไป กรรมการสายตำรวจใหญ่มีขาดบ้าง ที่ไม่ขาดก็ส่งตัวแทนมาประชุม จนลงมติให้กรมสอบสวนคดีพิเศษรับเป็นเจ้าภาพพิจารณาคดีฮั้ว สว.
กฎแห่งกรรมจึงทำงาน 138 สว. จึงเข้าชื่อผ่านประธานวุฒิสภา ร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ว่า พฤติกรรมของ นายภูมิธรรม เวชยชัย และ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เป็นการแทรกแซงหรือครอบงำหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการเลือกตั้ง ใช้ ดีเอสไอเป็นเครื่องมือกลั่นแกล้ง กดดัน ข่มขู่ และ ครอบงำ สว. ซึ่งเป็นฝ่ายนิติบัญญัติ ขัดต่อหลักการแบ่งแยกอำนาจ เป็นการฝ่าฝืน มาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง
ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องและวินิจฉัยให้ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง หยุดปฏิบัติหน้าที่ในส่วนกำกับดูแลงานกรมสอบสวนคดีพิเศษ
ล่าสุด ศาลรัฐธรรมนูญ มีมติ 6 ต่อ 2 มีคำสั่งให้ เดินหน้าวินิจฉัยคดีนี้ต่อไป แม้คู่ความทั้งสอง คือ นายภูมิธรรม เวชยชัย และ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง จะพ้นจากตำแหน่งตามคำร้องที่ขอให้ถอดถอนออกจากตำแหน่ง
ด้วยเหตุผลว่า การพิจารณาคดีต่อไปจะเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ ไม่ได้เกี่ยวพันเฉพาะ 2 รัฐมนตรีผู้ถูกร้องเท่านั้น
จะเป็นบรรทัดฐานในอำนาจของกรมสอบสวนคดีพิเศษว่ามีอำนาจหรือไม่
อีกทั้งยังส่งผลไปถึงคำร้องความผิด ม.157 ของ 2 รัฐมนตรี ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของ ป.ป.ช.
ต่างกับความผิดของ นายนิพนธ์ บุญญามณี อดีตรัฐมนตรีช่วยมหาดไทย ที่ชิงลาออกก่อนศาลรัฐธรรมนูญจะรับคำร้อง......เพราะนั่นเป็นความผิดเฉพาะตัว
กรรมเป็นเผ่าพันธุ์ ใครทำกรรมสิ่งใดไว้ ย่อมต้องรับผลแห่งกรรมนั้น
"บารอน"
#บารอน #บารอนป้อนข่าว #ภูมิธรรมเวชยชัย #กฎแห่งกรรม #กฎหมาย