ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายแพทย์วัลลภ อัจสริยะสิงห์ อาจารย์จากภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยว่า ฮ่องเต้ซินโดรม (Emperor Syndrome) เป็นภาวะที่กำลังถูกกล่าวถึงอย่างกว้างขวางในสังคมไทย โดยเป็นคำที่มีความหมายในเชิงลบ ซึ่งบ่งบอกถึงการเลี้ยงดูบุตรหลานให้มีนิสัยเอาแต่ใจตนเองมากเกินไป หากไม่รีบแก้ไขหรือปรับปรุงพฤติกรรม อาจส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตในสังคมอย่างรุนแรง
ที่มาและอาการ (Origin and Symptoms)
ชื่อฮ่องเต้ซินโดรมมีที่มาจากประเทศจีนในสมัยก่อนที่มีนโยบายลูกคนเดียว พบว่าเด็กที่เติบโตมาในครอบครัวที่มีลูกเพียงคนเดียวและไม่มีพี่น้อง จะได้รับการเอาอกเอาใจจากพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย อย่างท่วมท้น ให้ทุกอย่าง และไม่กล้าขัดใจ
ผลลัพธ์คือเด็กที่โตขึ้นจะมีพฤติกรรมที่ภาษาชาวบ้านเรียกว่า "เอาแต่ใจ" โดยเฉพาะอาการที่เด่นชัด ได้แก่
1. ไม่เห็นอกเห็นใจผู้อื่น และคิดถึงแต่ความต้องการของตนเอง
2. ขาดความอดทนรอคอย
3. หากต้องผิดหวังหรือรอคอย จะแสดงอาการรุนแรง เช่น หงุดหงิด โวยวาย หรืออาละวาด (ในเด็กเล็ก)
สาเหตุหลักของการเกิดฮ่องเต้ซินโดรม
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายแพทย์วัลลภ ระบุว่า สาเหตุของการเกิดภาวะนี้มีอยู่ 2 ส่วนหลัก ๆ
1. พื้นอารมณ์ของเด็ก (Temperament) เด็กทุกคนเกิดมามีความแตกต่างกัน (ไม่ใช่ผ้าขาว) เด็กบางคนมีพื้นอารมณ์เป็น "เด็กเลี้ยงยาก" เช่น กินยาก นอนยาก ขี้รำคาญ และขี้หงุดหงิด ซึ่งทำให้เด็กกลุ่มนี้เสี่ยงต่อการเป็นฮ่องเต้ซินโดรมได้ง่าย เพราะดูเผิน ๆ เหมือนเอาแต่ใจอยู่แล้ว
2. การเลี้ยงดู เป็นสาเหตุสำคัญที่มาเติมเต็มพฤติกรรม การเลี้ยงดูที่ให้เด็กทุกอย่าง ให้ความรักความเอาใจใส่มาก แต่ขาดการฝึกระเบียบวินัย ทำให้เด็กไม่เคยเรียนรู้ว่าต้องจัดการกับตนเองหรืออารมณ์อย่างไรเมื่อโดนขัดใจ
ผลกระทบและปัญหาที่เจอ
ผลกระทบของฮ่องเต้ซินโดรมมีมากและครอบคลุมทั้งตัวเด็ก ครอบครัว และสังคม
ผลกระทบต่อตัวเด็ก: เด็กจะเครียดง่ายมาก เพราะไม่สามารถปรับตัวกับความขัดใจหรือสังคมภายนอกได้ เมื่อไปโรงเรียน เด็กจะเข้ากับเพื่อนและครูได้ยาก เนื่องจากไม่สามารถทำตามระเบียบได้
ปัญหาด้านสังคมและผลลัพธ์การเรียน: เด็กจะถูกเพื่อนและครูหลีกเลี่ยง ทำให้ไม่มีใครอยากเข้าหา หากปัญหานี้สะสมนานวันเข้า จะกระทบเรื่องการเรียน เพราะเด็กจะมัวแต่กังวลเรื่องการเข้าสังคม เมื่อโตขึ้นและต้องไปทำงานหรืออยู่ในสังคมที่มีกฎระเบียบที่เข้มงวดกว่าในครอบครัว ก็จะยิ่งปรับตัวได้ยากขึ้นไปอีก
ผลกระทบต่อครอบครัว: พ่อแม่จะเครียดมาก เพราะลูกค่อนข้างเอาแต่ใจ และความต้องการของลูกจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตามวัย เช่น จากของเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปเป็นการขอรถสปอร์ตเมื่อโตขึ้น เป็นต้น ซึ่งบางครั้งพ่อแม่ไม่สามารถให้ได้และรู้สึกเครียดที่ขัดใจลูกไม่ได้
ปัญหาที่เด็กต้องเผชิญคือ การขาดทักษะในการจัดการอารมณ์ที่เกิดจากความผิดหวัง และการอดทนรอคอย
แนวทางแก้ไขและวิธีรับมือสำหรับผู้ปกครอง
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายแพทย์วัลลภ ได้ให้คำแนะนำในการรับมือและจัดการกับลูกที่มีนิสัยเอาแต่ใจไว้ ดังนี้
1. ทำความเข้าใจลูก: ผู้ปกครองต้องเข้าใจก่อนว่าพฤติกรรมนี้ ไม่ใช่เด็กนิสัยไม่ดี แต่เป็นผลมาจากพื้นอารมณ์และการขาดการฝึกฝนทักษะการจัดการอารมณ์
2. ให้คำชมและเสริมแรงบวก: เมื่อลูกทำพฤติกรรมที่น่ารัก เช่น การเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ หรือทำตามกฎระเบียบได้ อย่าลืมชมเขาเยอะ ๆ เพื่อให้เด็กรู้ว่าพฤติกรรมนั้นเป็นสิ่งที่พ่อแม่ต้องการ และเขาจะทำพฤติกรรมนั้นมากขึ้น
3. ฝึกทักษะการจัดการอารมณ์: ค่อย ๆ ฝึกให้ลูกจัดการกับอารมณ์ที่เกิดจากความผิดหวังหรือการอดทนรอคอย พ่อแม่ควรเป็นแบบอย่างที่ดีในการจัดการอารมณ์หงุดหงิดของตนเอง และสอนลูกด้วยการชวนทำกิจกรรมอื่น ๆ เพื่อให้ลูกสบายใจและอารมณ์ดีขึ้น
4. ฝึกกฎระเบียบและความรับผิดชอบ: ค่อย ๆ ฝึกทีละนิด เริ่มจากงานบ้านที่เหมาะสมกับวัย เช่น ล้างจาน ถูบ้าน หรือกวาดบ้าน เพื่อให้เด็กเริ่มมีความรับผิดชอบ
5. ขอคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ: หากผู้ปกครองพยายามปรับตัวตามคำแนะนำแล้ว แต่ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ สามารถมาปรึกษาแพทย์ได้ แม้ลูกไม่ได้ป่วยเป็นจิตเวช ก็สามารถปรึกษาแนวทางในการเลี้ยงลูกได้
วิธีป้องกันการเกิดฮ่องเต้ซินโดรม (หลักการ 3 R)
สำหรับพ่อแม่ที่กำลังเริ่มต้นเลี้ยงลูก ควรใช้หลักการเลี้ยงลูกที่เรียกว่า "3 R" เพื่อป้องกันไม่ให้ลูกเกิดภาวะฮ่องเต้ซินโดรมในอนาคต
1. R1: Relationship (ความรัก): ให้ความรัก ความเอาใจใส่ และความเมตตาแก่ลูก
2. R2: Rules (กฎระเบียบ): ต้องมีการฝึกให้ลูกมีกฎ มีระเบียบ และมีวินัย ไม่ตามใจลูกจนมากเกินไป
หากเด็กได้รับทั้งความรัก (Relationship) และการฝึกกฎระเบียบ (Rules) เขาจะเติบโตเป็นเด็กที่มี Resilience (ความยืดหยุ่น) เป็นเด็กที่รู้สึกดีกับตัวเอง มีความภาคภูมิใจในตนเอง และเมื่อพบปัญหาก็สามารถล้มแล้วลุกได้ ปรับตัวเข้ากับสังคมได้ดี ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีในอนาคต