วันที่ 1 ต.ค.68 ที่อาคารไอราวัตพัฒนา ศาลาว่าการกทม. ดินแดง นายวิพุธ ศรีวะอุไร ประธานสภากรุงเทพมหานคร เป็นประธานการประชุมสภากรุงเทพมหานคร สมัยประชุมสามัญ สมัยที่4 ครั้งที่1 ประจำปี 2568 โดยมีนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯกทม. นายจักกพันธุ์ ผิวงาม นายวิศณุ ทรัพย์สมพล นายศานนท์ หวังสร้างบุญ รองผู้ว่าฯกทม. นายณรงค์ เรืองศรี ปลัดกรุงเทพมหานคร นายไทวุฒิ ขันแก้ว นายจิระเดช กรุณกฤตกุล นางสาวกนกวรรณ เอี่ยมลิ้ม นางเลิศลักษณ์ ลีลาเรืองแสง นายธนิต ตันบัวคลี่ นางสาวอรัญญา พรไชยะ รองปลัดกรุงเทพมหานคร คณะผู้บริหาร กทม.หัวหน้าหน่วยงานเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้อง และสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) เข้าร่วม
นายชัชชาติ ได้ทำหนังสือด่วนที่สุด ที่ กท 1902/เรื่อง การพิจารณาร่างข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 พ.ศ. ... โดยจ่ายขาดจากเงินสะสมกรุงเทพมหานคร ในกรอบวงเงินไม่เกิน 32,625,106,200 บาท
เนื่องด้วยกทม.มีความประสงค์ชำระหนี้ค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุง ตามความจำเป็นที่หน่วยงานเสนอ พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2528 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมถึงฉบับที่ 5 พ.ศ. 2550 มาตรา 98 และมาตรา 99 บัญญัติว่า มาตรา 98 ร่างข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร จะเสนอได้ก็แต่โดยผู้ว่าฯกทม. สมาชิกสภากรุงเทพมหานคร หรือราษฎรผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตกรุงเทพมหานครตามกฎหมายว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่น ในกรณีสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร เป็นผู้เสนอต้องมีสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร ลงนามรับรองไม่น้อยกว่า 1 ใน 5 ของจำนวนสมาชิกสภากรุงเทพมหานครทั้งหมด
มาตรา 99 ร่างข้อบัญญัติกรุงเทพมหานครที่เกี่ยวด้วยการเงิน หมายความถึงร่างข้อบัญญัติกรุงเทพมหานครว่าด้วยข้อความต่อไปนี้ทั้งหมดหรือแต่ข้อใดข้อหนึ่ง
(1) การตั้งขึ้นหรือยกเลิก หรือลด หรือเปลี่ยนแปลงแก้ไข หรือผ่อนหรือวางระเบียบ การบังคับอันเกี่ยวกับภาษีอากร (2)การจัดสรร รับ รักษา หรือจ่ายเงินของกรุงเทพมหานคร หรือการโอนงบประมาณรายจ่ายของกรุงเทพมหานคร (3)การกู้เงิน การค้ำประกัน หรือการใช้เงินกู้ (4)การคลัง การงบประมาณ การเงิน การทรัพย์สิน การจัดหาผลประโยชน์จากทรัพย์สินการจ้างและการพัสดุอ(5)การพาณิชย์ของกรุงเทพมหานคร (6)การออกพันธบัตรของกรุงเทพมหานคร ในกรณีเป็นที่สงสัยว่าร่างข้อบัญญัติใดเป็นร่างข้อบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงินที่จะต้องมีคำรับรองของผู้ว่าฯกทม.หรือไม่ ให้ประธานสภากรุงเทพมหานครเป็นผู้วินิจฉัย
ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง เงินสะสม พ.ศ. 2562 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมถึงฉบับที่ 3 พ.ศ.2564 ข้อ 12 กำหนดว่า ข้อ 12 กรณีที่กทม. มีความจำเป็นจะต้องจ่ายขาดเงินสะสม ให้กระทำได้ในกรณีที่เป็นกิจการที่อยู่ในหน้าที่และอำนาจของกรุงเทพมหานคร และที่มีความจำเป็นหรือเร่งด่วนเกี่ยวกับการบริการชุมชนและสังคม หรือเป็นกิจการซึ่งแก้ไขความเดือดร้อนของประชาชนโดยตรง หรือเป็นกิจการที่เป็นการเพิ่มพูนรายได้ให้กทม. และต้องเป็นไปตามแผนพัฒนากรุงเทพมหานคร หรือตามที่มีกฎหมายกำหนดและให้คำนึงถึงฐานะเงินสะสมของกรุงเพมหานครด้วย โดยให้ผู้ว่าฯ กทม.เสนอสภากรุงเทพมหานคร เพื่อตราเป็นข้อบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม
ทั้งนี้ ในการพิจารณาร่างข้อบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม การแปรญัตติเพิ่มเติมรายการหรือจำนวนในรายการเดิมขึ้นใหม่จะกระทำมิได้ แต่อาจแปรญัตติในทางลดหรือตัดรายจ่ายได้
เมื่อดำเนินการตามวรรคหนึ่งแล้ว กทม.ต้องดำเนินการก่อหนี้ผูกพันและเบิกจ่ายให้เสร็จสิ้นภายในระยะเวลาไม่เกินปีงบประมาณถัดไป หากไม่ดำเนินการภายในระยะเวลาที่กำหนด ให้ตกเป็นเงินสะสม
ดังนั้นจึงเสนอสภากทม.พิจารณาร่างข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 พ.ศ. ...โดยจ่ายขาดจากเงินสะสมกรุงเทพมหานคร ในกรอบวงเงินไม่เกิน 32,625,106,200 บาท
อย่างไรก็ตามที่ประชุมสภากทม.มีมติเห็นชอบรับหลักการ พร้อมตั้งคณะกรรมการวิสามัญ จำนวน 24 คน กำหนดแปรญัตติ 1 วันทำการ คาดว่าจะเข้าสู่วาระ2และวาระ3 ในวันที่ 8 ต.ค.นี้
ด้านนายชัชชาติ กล่าวว่า กทม.จะไม่อุทธรณ์คำสั่ง เนื่องจากหากยืดเวลาออกไปจะทำให้ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น วันนี้จึงได้เสนอเรื่องเข้าสู่ที่ประชุมสภากทม. เพื่ออนุมัติงบประมาณจ่ายหนี้ดังกล่าวแล้ว ทั้งนี้กทม.วางแผนจะชำระหนี้ที่ติดค้างตั้งแต่ปี 2565 ตามคำสั่งศาล โดยจะชำระครอบคลุมไปถึงเดือนส.ค.68 รวมวงเงินประมาณ 32,000 ล้านบาท โดยใช้เงินสะสมที่มีอยู่เกือบทั้งหมด เหลือสำรองเพียง 2,000–3,000 ล้านบาทเพื่อกรณีฉุกเฉิน เพื่อทำให้ปัญหาที่ค้างคามานานปิดฉากลงในสมัยการบริหารชุดปัจจุบัน และไม่เป็นภาระติดค้างต่อไป
อย่างไรก็ตาม ยอมรับในอนาคตอาจจำเป็นต้องปรับราคาค่าโดยสารในส่วนต่อขยายของรถไฟฟ้าสายสีเขียว เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการเดินรถอยู่ที่กว่า 7,100 ล้านบาทต่อปี แต่จัดเก็บรายได้จากค่าโดยสารได้เพียงราว 2,000 ล้านบาท ทำให้กทม.ต้องนำงบประมาณไปชดเชยมากกว่า 4,000 ล้านบาทต่อปี ซึ่งไม่สามารถแบกรับได้ต่อไป เบื้องต้นอาจปรับอัตราค่าโดยสารจาก 15 บาท เป็นตามสูตรคิดตามระยะทาง เหมือนกับรถไฟฟ้าสายอื่น เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและสอดคล้องกับต้นทุนจริง ซึ่งแม้ว่าการปรับขึ้นค่าโดยสารจะทำให้จำนวนผู้ใช้บริการลดลงตามกลไกอุปสงค์และอุปทาน แต่ถือเป็นสิ่งจำเป็น เพราะไม่อาจใช้งบประมาณของประชาชนทั้งหมดมาสนับสนุนเรื่องดังกล่าวเพียงเรื่องเดียวได้ โดยเฉพาะเงินที่มาจากผู้ที่ไม่ได้ใช้บริการรถไฟฟ้า ที่ต้องนำมาชดเชยค่าใช้จ่ายส่วนนี้
ส่วนหนี้ค่าโครงสร้างพื้นฐานนั้น ยังต้องหารือกับรัฐบาล เนื่องจากการก่อสร้างเดิมเป็นของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ก่อนจะโอนมาให้กทม.เป็นผู้รับผิดชอบ ทำให้ในอนาคตยังมี 2 เรื่องใหญ่ที่ต้องจัดการต่อ คือ ภาระการจ่ายค่าจ้างเดินรถรายปีที่เก็บค่าโดยสารไม่เพียงพอ และหนี้ด้านโครงสร้างที่เป็นของรัฐบาล ซึ่งต้องหาข้อยุติร่วมกัน
อย่างไรก็ตามการชำระหนี้จำนวน 32,000 ล้านบาทนี้ จะช่วยเคลียร์ปัญหาที่สะสมมานาน และเป็นการสร้างความมั่นใจกทม.จะเดินหน้าพัฒนาระบบขนส่งมวลชนได้อย่างมีเสถียรภาพในอนาคต