เหตุการณ์ลอบทำร้ายชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ ที่อาสาเป็นชุดคุ้มครองหมู่บ้าน ต.ลำพะยา อ.เมืองยะลา อย่างเลือดเย็น ไร้มนุษยธรรมที่ผ่านมานั้น แม่ทัพภาคที่ 4 ยืนยันว่าคนร้ายสั่งการจากต่างประเทศ และมีคนในประเทศ กลุ่มบีอาร์เอ็นปฏิบัติการ จากหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ พบว่า คนร้ายที่เข้าโจมตีในจุดนี้ (ป้อมชรบ.) มีจำนวนอย่างน้อย 18 คน โดยมีการรวมกำลังจาก 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่มาจากทาง จ.ปัตตานี โดยเฉพาะ อ.โคกโพธิ์ รวมถึง 4 อำเภอของ จ.สงขลา และอีกส่วนหนึ่งมาจาก อ.กาบัง ยะหา บันนังสตา โดยมีแนวร่วมอีกจำนวนหนึ่ง ประมาณ 40-50 คน เป็นตัวช่วยในแผนการร้ายครั้งนี้ โดยร่วมขบวนการอีก 5 จุด เป็นการโปรยตะปูเรือใบ ตัดต้นไม้ขวางถนน และระเบิดเสาไฟฟ้า ขณะนี้เร่งติดตามไล่ล่าคนร้าย โดยกระจายกำลังกันเข้าปิดล้อมตรวจค้นใน 5 ตำบลของ อ.เมืองยะลา คือ ต.ยุโป ต.ลำใหม่ ต.ตาเซะ ต.ลิดล ต.ลำพะยา และนำกำลังหลายชุดขึ้นไปปิดล้อมเขานางจันทร์ พร้อมย้ำว่ากฎหมายพิเศษมีความจำเป็นในพื้นที่ เพราะประชาชนยังไม่ปลอดภัย ปืนที่ใช้ก็เป็นกระบอกเดียวกับที่ยิง อส.ปัตตานี (ชุดคุ้มครองตำบลนาประดู่ อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี เมื่อ 16 ก.ย.62) ปล้นร้านทองนาทวี (อ.นาทวี จ.สงขลา เมื่อ 24 ส.ค.62) ยิงตู้เอทีเอ็มมหาวิทยาลัยฟาตอนี (วันที่ 3 ส.ค.62) แม่ทัพภาค 4 กล่าวย้ำว่า "คนพวกนี้ที่ทำร้ายพี่น้องมาตลอด คนร้ายมี 20 คน เราต้องดำเนินการ ถ้าเราไม่ไล่ติดตาม เขาจะก่อเหตุ กำลงมีไม่เพียงพอก็หลบๆ ซ่อนๆ ผมถามว่าต้องใช้กฎหมายพิเศษหรือไม่กับ 20 คนนี้ หรือต้องใช้กฎหมายธรรมดา อย่างนี้ต้องใช้กฎหมายพิเศษ ขนาดกฎหมายพิเศษยังเอาไม่อยู่เลย เราใช้กฎหมายพิเศษกับคน 20 คนเท่านั้น พี่น้องประขาชนผู้บริสุทธิ์ไม่มีการใช้แน่นอน ผมยืนยัน" และแน่นอนว่า หลังจากการปฏิบัติการชั่วร้ายครั้งนี้ ได้เป็นกระแสตีกลับเข้าใส่กลุ่มขบวนการร้ายปลายด้ามขวานแห่งนี้อย่างปฏิเสธไม่ได้ โดยสามารถวิเคราะห์ได้จากสาระสำคัญที่ซ่อนอยู่ในแถลงการณ์ของกลุ่ม BRN ที่พยายามอ้างเหตุผลความชอบธรรมในการก่ออาชญากรรมที่แสนเลวร้ายครั้งนี้ ด้วยการกล่าวอ้างไปถึงเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์ที่ตกยุคของโลกในศตวรรษที่ 21 ในเวลานี้ไปแล้ว ทั้งยังบ่งบอกถึงการต่อต้านการอยู่ร่วมกันอย่างสันติบนหลักคิดของพหุวัฒนธรรมที่ภาครัฐกำลังนำเสนอให้อย่างได้ผล อย่างไรก็ตาม การแถลงการณ์ของขบวนการร้ายแห่งนี้ ก็ไม่สามารถยับยั้งกระแสตีกลับเข้าใส่กลุ่มขบวนการก่อเหตุร้ายนี้ได้ เพราะการขับเคลื่อนของทุกองคาพยพของรัฐ ได้ขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาควบคู่กับการพัฒนาความเจริญให้คนในพื้นที่อย่างเป็นรูปธรรมที่จับต้องได้ โดยเฉพาการให้อนาคตอันสดใสให้ลูกหลานของพี่น้องทุกศาสนาในพื้นที่ที่พวกเขารับรู้ได้ถึงความวัฒนาถาวรของบุตรหลานของพวกเขาในอนาคตที่ดีกว่าอย่างเห็นได้ชัด มากกว่าการเพ้อฝันลมๆ แล้งๆ ของบรรดาแกนนำขบวนการร้ายแห่งนี้ ที่วาดฝันให้พี่น้องในพื้นที่อย่างเลื่อนลอย พร้อมการยุแหย่ แบ่งแยกผู้คนในพื้นที่ออกจากคนส่วนใหญ่ของประเทศโดยหยิบยกวาทะกรรมทางประวัติศาสตร์บางส่วนและความเชื่อทางศาสนาที่แปลความหมายเพื่อสนับสนุนการต่อสู้ด้วยวิธีการใช้ความรุนแรงของกลุ่มตน และเมื่อหูตาของมวลชนในพื้นที่ได้ตระหนักรู้ในเล่ห์กลของบรรดาแกนนำ นักคิดในขบวนการดังกล่าวแล้ว และได้ตอกย้ำให้เห็นความป่าเถื่อน บ้าคลั่งของกองกำลังวัยรุ่นติดอาวุธที่ถูกล้างสมองไปแล้ว โดยกระทำการอันป่าเถื่อน ทำลายบรรยากาศของการสร้างสรรค์ เพื่อนำไปสู่การพัฒนาความเป็นอยู่ของคนในพื้นที่ ทั้งทางด้านการใช้ชีวิตประจำวันแบบปกติเหมือนคนในพื้นที่ส่วนอื่นๆ ของประเทศนี้ ทำลายบรรยากาศและทำลายโอกาสของการทำมาหากิน เพื่อสร้างสรรค์เงินในกระเป๋าของครอบครัวให้สามารถลืมตาอ้าปากเหมือนคนในพื้นที่อื่นๆ ได้ ทำลายบรรยากาศและทำลายโอกาสของการค้าการขาย เพื่อพัฒนาด้านเศรษฐกิจชุมชน นำเงินมาพัฒนาบ้านเกิดเมืองนอนของตนเพื่ออนาคตของลูกหลานคนในพื้นที่ เหล่านี้คือความเป็นจริงที่สวนทางกับการสร้างความหวัง บ่มเพาะความคิดที่แกนนำขบวนการร้ายแห่งนี้ได้เคยชี้นำคนในพื้นที่ว่า ต้องแบ่งแยกดินแดน เพื่อการปกครองตนเอง เพราะการกระทำอันเลวร้ายป่าเถื่อนผิดมนุษย์ด้วยการเข่นฆ่าชีวิตผู้คนผู้บริสุทธิ์แม้จะต่างความคิดต่างความเชื่อกัน หากแต่คนกลุ่มนั้น ก็ไม่ได้เบียดเบียน และไม่ได้ไล่ล่ากลุ่มของตนเพื่อให้เกิดความเดือนร้อนในการดำรงชีวิตแต่อย่างใด ทั้งการกระทำความรุนแรงต่อผู้บริสุทธิ์ตลอดเวลาที่ผ่านมาของกลุ่มคนหัวคิดสุดโต่งเหล่านี้ ก็ชี้ให้พี่น้องในพื้นที่เห็นเป็นที่ประจักษ์ชัดว่า ไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อคนในพื้นที่โดยรวมแต่ประการใดทั้งสิ้น ดังนั้น เหตุการณ์ความรุนแรงที่คนในขบวนการร้ายเหล่านี้ ได้กระทำต่อชีวิตผู้บริสุทธิ์ที่ลำพะยา จึงไม่เป็นที่ยอมรับของคนในพื้นที่อย่างสิ้นเชิง ในทางตรงข้าม การกระทำความรุนแรงต่อทุกชีวิตที่ลำพะยากลับเป็นการผลักไสให้มวลชนที่รักความก้าวหน้าในพื้นที่ ต่างออกมาประณามคนร้ายในขบวนการ ทั้งยังปฏิเสธการใช้ความรุนแรงเข้าแก้ปัญหาในพื้นที่ในวงกว้าง กลุ่ม BRN ที่ออกมาแถลงการณ์เพื่อหวังจะสร้างความชอบธรรมในการก่อเหตุร้ายและปกป้องมวลชนในพื้นที่ไม่ให้ถอยห่างจึงล้มเหลว เหตุการณ์ที่ลำพะยา จึงเป็นตัวแบบ เป็นโมเดลสำคัญในการที่คนในพื้นที่จะใช้โอกาสนี้ หล่อหลอม รวมพลังพี่น้องทุกภาคส่วนในพื้นที่เข้าต่อต้านการใช้ความรุนแรงในพื้นที่ และหันมาพูดคุยหาทางออกร่วมกันอย่างผู้เจริญแล้ว เป็นทางออกร่วมกันบนเส้นทางของสันติวิธีที่เป็นโมเดลลำพะยาที่น่าจะนำไปขยายผลให้จริงจังอย่างต่อเนื่องและทรงพลัง ในการเอาชนะความรุนแรงในพื้นที่ให้ได้โดยเร็ว