ร้อยเอก ดร.จารุพล เรืองสุวรรณ
รองผู้อำนวยการวิทยาลัยการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
การเมืองไทย และการเลือกตั้งในประเทศไทย นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน พูดกันตามตรงแบบไม่อ้อม ก็ต้องบอกว่า เรายังหนีจาก “Money Politics” ไม่พ้น “กระสุน” จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่พรรคการเมืองต่างต้องเตรียม เพื่อยิงให้เข้าเป้า
ถามว่ามันถูกต้องไหม เด็กสามขวบก็ตอบได้ว่า “ไม่”
แต่มันยังคงวนเวียนอยู่ในวัฏจักรการเมืองอยู่เสมอ เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่า Demand มันยังมี จุดเริ่มต้นอยู่ตรงไหนคงไม่มีใครตอบได้ แต่น่าจะเกิดจากการที่นักการเมืองหยิบยื่นให้ จนกลายเป็นวัฒนธรรมที่ฝังรากลึกในการเมืองไทย ฝังรากลึกจนไปถึงฝั่งของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง เกิดระบบหัวคะแนน และประเพณีปฏิบัติที่ว่า “เงินไม่มา กาไม่เป็น” กลายเป็นว่า นักการเมืองที่อยากจะใสสะอาดก็ลุ้นสอบตกได้ง่ายๆ
วันนี้ ต้องเปิดอกคุยกันว่าไม่ใช่แค่นักการเมืองเท่านั้นที่แคร์เรื่องกระสุน แต่กลายเป็นหัวคะแนนหรือแม้แต่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งด้วยเช่นกันที่แคร์ เข้าสู่ฤดูกาลทีก็ต้องมองหาว่ากระสุนอยู่ไหน ฝั่งพรรคการเมืองก็ต้องไปหามายิง ฝั่งคนโดนยิงก็ชะเง้อคอรอว่าเมื่อไรจะโดนยิง จนเกิดเรื่องตลกขึ้นจริงในบางพื้นที่ ที่นักการเมืองโดนหัวคะแนนสูบจนหมดตัว ซ้ำรายไปกว่านั้น บางที่บางแห่ง หัวคะแนนก็โดนผู้มีสิทธิเลือกตั้งสูบจนหมดตัวเหมือนกัน เป็นตลกร้าย ที่วงการการเมืองเข้าใจกันดี
แม้ว่าปี 66 ที่ผ่านมา จะเกิดปรากฏการณ์ “กระแส” เกิดขึ้น ด้วยโลกแห่งเทคโนโลยีที่พัฒนา พรรคการเมืองบางพรรคหันไปลงทุนกับกระแสแทนกระสุน แทนที่จะใช้หัวคะแนนเป็นคน แต่เลือกใช้สังคมออนไลน์เป็นหัวคะแนนแทน จนนำมาซึ่งคะแนนเสียงมหาศาล หลายพรรคการเมืองถึงขั้นเริ่มตั้งคำถามกันว่า เอ…หรือเราจะต้องเริ่มลงทุนกับกระแส แทน กระสุน
หลายคนใจชื้นว่าการเมืองไทยอาจจะดีขึ้น...
แต่เอาเข้าจริงๆ คิดแค่นั้นก็คงจะไร้เดียงสาไปหน่อย เพราะในโลกทุนนิยมที่เงินก็ยังคงเป็นพระเจ้า และยิ่งในสภาวะเศรษฐกิจที่ฝืดเคือง กระสุนในการเลือกตั้งหลายครั้งไม่ได้ต่างอะไรจากรายได้เสริม ที่หล่อเลี้ยงชีวิตรวมถึงปลดหนี้สินให้กับผู้คนจำนวนไม่น้อย ย้อนกลับไปสู่จุดเดิม...คือ Demand มันยังมี
เมื่อนำเรื่องร้อนในปัจจุบัน คือ เรื่องทุนสีเทา ใส่เข้าไปในสมการ เราจะยิ่งเห็นภาพที่น่ากลัวมากยิ่งขึ้น นั่นคือการแทรกซึมเข้ามา “ลงทุน” ในการเลือกตั้งของเหล่าทุนเทาทั้งหลาย ที่จะมากขึ้นจากเดิมที่มีอยู่แล้ว
เพราะเป็นความจริงด้านมืด ว่าไอ้ “กระสุน” ทั้งหลาย หรือแม้แต่เงินทุนที่จะใช้เพื่อสร้าง “กระแส” มันไม่ใช่เงินหลักหมื่นหลักแสน แต่มันเป็น “หลักร้อยหลักพัน” (หน่วยคืออะไร ละไว้ในฐานที่เข้าใจ) ที่สำหรับมนุษย์ปุถุชนผู้หาเงินอย่างสุจริต เป็นเรื่องที่ “เป็นไปไม่ได้” ที่จะเสกเงินหลักร้อยหลักพันนี้มาได้ในเวลาไม่กี่วัน
ความ “เป็นไปไม่ได้” ของเงินสุจริตนี่แหล่ะ...ที่จะเป็นกุญแจเปิดประตูให้เงินเทาเข้ามามีบทบาท
ดังนั้น ต้องบอกว่า เลือกตั้งงวดนี้ น่ากลัว เพราะทั้งฝั่งเงินเทาก็ต้องการลงทุนเพื่อประโยชน์ของตน แน่นอนทุกการลงทุน ย่อมต้องการผลตอบแทน ในขณะที่พรรคการเมืองก็ต้องการเงินทุนเพื่อเอาชนะกัน เป็นสถานการณ์ที่ ทั้ง Demand และ Supply มีพร้อม และพร้อมจะบรรจบกัน
งานหนักจึงตกอยู่ที่ผู้ตรวจสอบ ที่ก็ไม่รู้จะมีอิสระพูดได้มากน้อยแค่ไหน หรืออีกนัยหนึ่ง คือใจกล้าบ้าบิ่น กล้าพูดแค่ไหน ฟังดูเศร้า แต่อาจจะจริง ที่จะบอกว่า...งานนี้อาจจะต้องหวังพึ่งพา “คุณธรรมประจำใจ” เป็นสำคัญ
หรือไม่แน่ว่า...หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจจะต้องคิดกันใหม่ ผลักดันให้เกิดการพัฒนา “กระแส” มากขึ้น เปิดทางให้ใช้โลกออนไลน์ได้มากขึ้น ก็ต้องไปว่ากันเรื่องกฎหมายเลือกตั้งที่จะอนุญาตให้ลงทุนในกระแสได้มากน้อยแค่ไหน
ปัจจุบัน เพดานงบประมาณการหาเสียง ก็ต้องพูดกันตามตรงว่า “ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง” จนกลายเป็นมาตรฐานที่ “มีไปยังงั้น” ทุกพรรครวมถึงกรรมการต่างก็รู้กันดี การเลือกตั้งจึงเป็นการใช้เงินใต้ดินกันเสียหมด เพราะยังไงก็เกินเพดานที่ตั้งไว้ในกฎหมาย เลยกลายเป็นว่า ควบคุมไม่ได้ ใครเงินมากกว่าก็ได้เปรียบ
ดังนั้น อาจจะต้องมาคิดกันใหม่...ว่าเพดานที่เหมาะสมคือเท่าไร? อาจจะต้องขยายเพดานหรือไม่เพื่อให้สอดคล้องกับความเป็นจริง เพื่อให้การหาเสียงทั้งออฟไลน์และออนไลน์ขึ้นมาเป็นเรื่อง “บนดิน” มากขึ้น ควบคุมได้มากขึ้น ส่วนหนึ่งก็อาจจะพอแก้ไขปัญหาเรื่องกระสุนได้
แน่นอน เรื่องนี้ “ไม่ง่าย” แต่ควรทำ และไม่แน่…ภาคการเมืองก็อาจจะเห็นด้วย เพราะจะได้ไม่ต้องเสี่ยงโดนสูบจนหมดตัวในงวดต่อๆไป
สำคัญที่สุด คือการแก้ที่ Demand ครับ อยู่ที่เราๆท่านๆ ถ้าประชาชนอย่างเราแข็งพอ ไม่อยากได้ ไม่อยากรับ ไม่ยอมให้เกิดขึ้น ช่วยกันใช้สายตา 60 ล้านคู่ตรวจสอบ อดทนร่วมกันต่อต้านเงินเทาที่ผิดกฎหมาย นี่จะเป็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงอย่างแท้จริง
สุดท้าย ก็คงต้องวอนพรรคการเมืองต่างๆ ให้ช่วยกัน อย่างน้อยต้องมีคุณธรรมประจำใจ ไม่นำเงินเทา เงินที่ทำร้ายพี่น้องประชาชน มายุ่งเกี่ยวกับการหาเสียง เพราะคงจะย้อนแย้งไม่น้อย ถ้าจะเอา “เงินที่ทำร้ายประชาชนมาใช้ เพราะอยากจะช่วยเหลือประชาชน”
บทความฉบับนี้ อาจจะแก้ไขอะไรไม่ได้ จะเรียกว่าบ่นก็คงได้ แต่อย่างน้อยก็ขอบ่นดังๆให้เกิดการตระหนักรู้ และหวังว่าทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องจะร่วมกันสอดส่องดูแลครับ
เอวัง







