ร้อยเอก ดร.จารุพล เรืองสุวรรณ
รองผู้อำนวยการวิทยาลัยการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
เรื่องของแร่ Rare Earth กลายเป็นประเด็นถกเถียงสำคัญของบ้านเราเมื่อนายกรัฐมนตรีได้ลงนาม MOU กับประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อวันที่ 26 ต.ค. ที่ผ่านมา มองโลกเหลียวไทย จะพาทุกท่านไปวิเคราะห์เรื่องนี้ด้วยกัน โดยเริ่มจาก EP แรกในวันนี้ ไปทำความรู้จัก “แร่ Rare Earth” กันก่อนครับ
แร่ Rare Earth คืออะไร?
โดยนิยามแล้ว “แร่ Rare Earth” คือธาตุโลหะ 17 ชนิดในตารางธาตุ ได้แก่ แลนทาไนด์ (Lanthanides) 15 ธาตุ และอีก 2 ธาตุ สแกนเดียม (Scandium) และอิตเทรียม (Yttrium) แต่สิ่งที่น่าสนใจมากกว่านั้น คือ แม้ชื่อจะถูกเรียกว่า “หายาก” แต่จริงๆแล้ว “มันไม่ได้หายากในเชิงปริมาณ” และมีอยู่ทั่วไป แต่ที่ถูกเรียกว่าหายากนั้น เป็นเพราะมันมักจะกระจายตัวปะปนกับธาตุอื่นๆ มากกว่าที่จะอยู่รวมตัวแบบมีความเข้มข้นสูงในชั้นดิน จึงทำให้กระบวนการแยกหรือการสกัดมีความซับซ้อนและต้องใช้เทคโนโลยีระดับสูง
พูดง่ายๆ คือ “ไม่ได้หายากเพราะมีน้อย แต่หายากเพราะทำยาก” และนั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ประเทศที่ควบคุมเทคโนโลยีการแปรรูป กลายเป็นผู้ครองความได้เปรียบเชิงยุทธศาสตร์ทันที
แล้วมันมีความสำคัญอย่างไร?
หากน้ำมันคือทรัพยากรที่กำหนดอำนาจของรัฐ กำหนดทิศทางภูมิรัฐศาสตร์ และกำหนดชะตากรรมของเศรษฐกิจโลกในยุคสงครามเย็น แร่ Rare earths ก็เปรียบได้กับ “น้ำมันแห่งโลกยุคใหม่” (The New Oil) เพราะแทบทุกสิ่งที่เราพึ่งพาในปัจจุบันล้วนขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีที่มีแร่หายากเป็นหัวใจสำคัญ ยกตัวอย่างเช่น สมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์สื่อสาร ที่ต้องใช้ นีโอไดเมียม (Nd) และ ดีสโปรเซียม (Dy) ในการทำแม่เหล็กถาวรที่มีกำลังสูง การผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (EV) และมอเตอร์พลังแม่เหล็กถาวร กังหันลม พลังงานหมุนเวียน และแบตเตอรี่ ที่ต้องใช้แร่ REE หลายสิบกิโลกรัมต่อหนึ่งหน่วย และในด้านการผลิตอาวุธนำวิถี เรดาร์ ดาวเทียม และระบบป้องกันประเทศ จนกลายเป็นหนึ่งใน “strategic minerals” ที่สหรัฐจัดอยู่ในหมวดความมั่นคง เป็นต้น
กล่าวได้ว่า ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีพลเรือนหรือการทหาร โลกกำลังก้าวสู่ยุคที่ “หากไม่มีแร่แรร์เอิร์ธ จะเกิดข้อจำกัดในการพัฒนาความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี”
ทำไมจึงกลายเป็นสมรภูมิการแข่งขันระดับโลก? ตอบได้ง่ายๆว่า เพราะ Demand สูง แต่ Supply ยังกระจุกตัว ด้วยเหตุผลด้านการผลิต
จากข้อมูลจาก USGS (2024) ระบุว่า จีนผลิตแร่แรร์เอิร์ธ กว่า 60–70% ของทั้งโลกและครองกำลังสกัด–แปรรูป (processing capacity) มากกว่า 85% ของโลก กล่าวคือ แม้สหรัฐฯ ออสเตรเลีย หรืออาเซียนจะมีแหล่งแร่ แต่ จีนคือประเทศที่ “ทำให้ใช้ได้จริง” ผ่านเทคโนโลยีการถลุงและการแยกขั้นสูง
Rare Earth จึงมีความสำคัญคล้ายกับ “น้ำมัน” ในยุคสงครามเย็น โดยเฉพาะในสามมิติ ได้แก่ 1) เป็นทรัพยากรสำคัญทางยุทธศาสตร์ เหมือนน้ำมันที่ควบคุมเศรษฐกิจโลกในศตวรรษที่ 20 ซึ่งแร่ Rare Earths กำลังควบคุมเทคโนโลยีของศตวรรษที่ 21 ตั้งแต่ AI ชิป ไปจนถึงอาวุธไฮเทค
2) มีผู้ผลิตและผู้แปรรูปรายใหญ่เพียงไม่กี่ราย เหมือนกับกลุ่ม OPEC ในยุคพลังงานที่เป็นผู้ผลิตน้อยราย และสามารถควบคุมห่วงโซ่อุปทานได้ ซึ่งในปัจจุบันห่วงโซ่อุปทานของ Rare earths กระจุกตัวอยู่กับจีน (China-centric supply chain)
3) เป็นเครื่องมือทางภูมิรัฐศาสตร์ ในปี 2010 จีนเคยลดการส่งออกแร่หายากให้ญี่ปุ่นช่วงพิพาททางทะเล ทำให้ราคาแร่ Rare earth ทั่วโลกพุ่งถึง 800–900% เห็นได้ชัดว่า Rare earth สามารถถูกใช้เป็น “อาวุธทางเศรษฐกิจ” ได้ไม่ต่างจากน้ำมันดิบในสงครามเย็น
เมื่อโลกก้าวสู่การแข่งขันมหาอำนาจรอบใหม่ โดยเฉพาะสหรัฐฯ กับจีน รวมไปถึงการที่โลกอาจกำลังก้าวเข้าสู่การเป็นโลกหลายขั้ว (Multipolar world) แร่ Rare Earth จึงกลายเป็น จุดยุทธศาสตร์สำคัญในเกมเทคโนโลยีระดับโลก (Geo-Technology Competition) ไปด้วยประการฉะนี้
สำหรับประเทศไทย MOU มีใจความสำคัญอย่างไร จะกระทบต่อไทยอย่างไร สัปดาห์หน้ามาคุยกันต่อครับ
#RareEarth #น้ำมันยุคใหม่ #ภูมิรัฐศาสตร์ #เทคโนโลยีโลก #แร่หายาก #สหรัฐจีน #MOUไทยสหรัฐ #GeoTechnology #มองโลกเหลียวไทย







