บทบรรณาธิการ

เมื่อสงครามคืออาวุธในสงครามเลือกตั้ง

แชร์ข่าว

การตัดสินใจยุบสภาของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ในช่วงเวลาที่สถานการณ์การปะทะตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชากลับมาปะทุขึ้นอีกครั้ง ได้สร้างบริบททางการเมืองที่ซับซ้อนและมีเดิมพันสูง

การดำเนินการนี้ไม่ได้เป็นเพียงการคืนอำนาจให้แก่ประชาชนเท่านั้น แต่ยังถูกมองว่าเป็นการ ชิงจังหวะสร้างความได้เปรียบ ให้กับพรรคภูมิใจไทยก่อนเข้าสู่สนามเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ

นักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญด้านรัฐศาสตร์ส่วนใหญ่มองว่า สถานการณ์สู้รบตามแนวชายแดนในขณะที่พรรคภูมิใจไทยอยู่ในฐานะ รัฐบาลรักษาการ นั้น มีแนวโน้มที่จะเป็น ประโยชน์อย่างยิ่ง ต่อการหาเสียงของพรรค

ด้วยเหตุผลหลักคือโอกาสในการ โกยกระแสชาตินิยม โดยมองว่าการยุบสภาในจังหวะนี้ช่วยให้นายอนุทินสามารถหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่คะแนนนิยมอาจจะดิ่งลงในอนาคตอันใกล้ ขณะเดียวกันก็สามารถใช้ประเด็นความมั่นคงชายแดนเพื่อสร้าง แต้มต่อคะแนนเลือกตั้ง

แสดงความเด็ดขาด: โดยการแสดงออกถึงท่าทีที่ แข็งกร้าวและเด็ดขาด ในการปกป้องอธิปไตย ซึ่งเป็นที่ถูกใจของกลุ่มผู้ลงคะแนนเสียงที่เน้นเรื่องความมั่นคงและมีแนวคิดอนุรักษ์นิยม

นอกจากนี้ การเป็นรัฐบาลรักษาการยังถือเป็นข้อได้เปรียบเชิงโครงสร้าง การมีอำนาจในการบริหารราชการแผ่นดินในช่วงก่อนการเลือกตั้ง ทำให้พรรคภูมิใจไทยสามารถ สื่อสารผลงาน นำเสนอวิสัยทัศน์ บริหารจัดการวิกฤตที่เกิดขึ้นได้อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพสูงกว่าพรรคคู่แข่งอื่น ๆ

อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากการใช้ประเด็นชาตินิยมเป็นเครื่องมือแล้ว พรรคภูมิใจไทยยังมีจุดแข็งที่สำคัญในนโยบายที่เน้นการปฏิบัติจริง และภาพลักษณ์ความเป็น พรรคสายกลาง ที่สามารถประนีประนอมกับกลุ่มอำนาจต่าง ๆ ได้ ซึ่งเป็นปัจจัยเสริมให้พรรคสามารถดึงดูดคะแนนเสียงได้กว้างขวางขึ้น

แม้ว่าผู้เชี่ยวชาญจะเห็นพ้องต้องกันว่าพรรคภูมิใจไทยได้เปรียบในสถานการณ์นี้ แต่ก็มีข้อควรระวังสำคัญ เช่น หากสถานการณ์ความไม่สงบยืดเยื้อจนอาจนำไปสู่การเลื่อนการเลือกตั้งออกไปก่อน หรือข้อวิจารณ์เรื่องความชอบธรรมในการเป็น "รัฐบาลเฉพาะกิจ"

อย่างไรก็ตาม ณ เวลานี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่าสถานการณ์ชายแดนได้มอบโอกาสให้พรรคภูมิใจไทยได้แสดงศักยภาพความเป็นผู้นำในภาวะวิกฤต ซึ่งจะถูกนำไปใช้เป็น อาวุธสำคัญที่สุด ในการเดินหน้าสู่การเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง

ข่าวแนะนำ