การปะทะกันระหว่างไทยกับกัมพูชาปะทุขึ้นอีกครั้ง แม้จะมีการกล่าวหาฝ่ายไทยโจมตีก่อน แต่ก็เปรียบเหมือนนิทานเด็กเลี้ยงแกะ ที่คงไม่มีใครเชื่อถืออีกต่อไป
การเปิดฉากยิงใส่จุดประจำการของทหารไทยก่อนทำให้เราสูญเสียกำลังพล เพื่อยั่วยุและเล่นบทเหยื่อเป็นสคริปต์แบบเดิมๆ ที่ดูเหมือนว่ารอบนี้ไทยจะไม่ทนอีกต่อไป ตอบโต้ด้วยการรบทางอากาศ
ถามว่าไทยมีสิทธิใช้อาวุธได้แค่ไหน ก็ต้องว่ากันตามสิทธิในการป้องกันตนเอง ที่ถือเป็นหลักการพื้นฐานที่สำคัญยิ่งในกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นกลไกที่อนุญาตให้รัฐสามารถใช้กำลังตอบโต้เพื่อปกป้องเอกราชและบูรณภาพแห่งดินแดนของตน ตามกฎบัตรสหประชาชาติ (UN Charter) โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน มาตรา 51
มาตรา 51 แห่งกฎบัตรสหประชาชาติได้บัญญัติรับรอง "สิทธิโดยธรรมชาติ" (Inherent Right) ในการป้องกันตนเองแบบปัจเจกหรือแบบรวม โดยมีเงื่อนไขสำคัญคือ การใช้สิทธินี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีการ "โจมตีด้วยกำลังอาวุธ" (Armed Attack) เกิดขึ้นกับรัฐสมาชิกแล้วเท่านั้น
การตีความตามตัวอักษรนี้เน้นย้ำว่าการป้องกันตนเองเป็นการใช้กำลังตอบโต้ (Reactive use of force) ไม่ใช่การใช้กำลังในเชิงรุกก่อนที่ภัยคุกคามจะปรากฏ นอกจากนี้ ทุกมาตรการที่รัฐใช้ในการป้องกันตนเองจะต้อง รายงานต่อคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติทันที เพื่อให้องค์กรหลักนี้สามารถเข้ามารับผิดชอบในการธำรงไว้ซึ่งสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศต่อไป
แม้ว่ามาตรา 51 จะกำหนดเงื่อนไขหลังการโจมตี แต่กฎหมายจารีตประเพณีระหว่างประเทศ ซึ่งมีรากฐานมาจาก กรณี Caroline Case ในศตวรรษที่ 19 ได้กำหนดหลักการเสริมในการพิจารณาความชอบธรรมของการใช้กำลังไว้ 3 ประการ ได้แก่
ความจำเป็น คือเป็นความจำเป็นอย่างท่วมท้นและไม่มีทางเลือกอื่น
ความได้สัดส่วน คือการใช้กำลังต้องได้สัดส่วนต่อภัยคุกคาม
ความกำลังจะเกิดภัย ซึ่งเป็นที่มาของการถกเถียงเรื่องการป้องกันตนเองล่วงหน้า
ย้ำว่าไทยมีสิทธิป้องกันตนเองจากภัยคุกคามจากกัมพูชา หวังว่าจะไม่มีกลไกใดทั้งภายในและภายนอกที่ต้องการเลี้ยงไข้ปัญหานี้
#ไทยกัมพูชา #มาตรา51 #สิทธิป้องกันตนเอง #UNCharter #กฎหมายระหว่างประเทศ #ความมั่นคง








