กระแสดราม่าที่เกิดขึ้นกับ โดม ปกรณ์ ลัม ในช่วงปลายเดือนธันวาคม 2568 อาจเริ่มต้นจากคอมเมนต์เพียงไม่กี่บรรทัดในโลกออนไลน์ แต่ผลสะเทือนที่เกิดขึ้นกลับลุกลามเกินกว่าขอบเขตของข่าวบันเทิงธรรมดา เพราะมันได้พาดผ่านทั้งประเด็นศักดิ์ศรีของผู้หญิง บรรทัดฐานทางสังคม กฎหมายคุกคามทางเพศฉบับใหม่ และโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ก็คือแรงสั่นสะเทือนทางการเมืองที่อาจกระทบไปถึงพรรคไทยสร้างไทยในทางอ้อม
ตามรายงานข่าว เหตุการณ์เริ่มจากบัญชีเฟซบุ๊กที่ระบุชื่อของศิลปินรายดังกล่าว เข้าไปแสดงความคิดเห็นใต้ภาพของ “น้องจินนี่” บุตรสาวของ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ด้วยถ้อยคำที่ถูกสังคมวิพากษ์ว่าไม่เหมาะสมและส่อไปในทางคุกคามทางเพศ จนเกิดกระแสวิจารณ์อย่างกว้างขวางในโลกโซเชียล ช่วงแรกมีการปฏิเสธ พร้อมตั้งข้อสงสัยว่าอาจเป็นการกระทำของแอดมินเพจ แต่ต่อมาเจ้าตัวได้ออกมายอมรับว่าเป็นผู้โพสต์เอง โดยอ้างว่าอยู่ในภาวะมึนเมา ขาดสติ และได้กล่าวขอโทษต่อสาธารณะ
อย่างไรก็ตาม คำขอโทษและการอ้างความเมา ไม่ได้ช่วยลดแรงเสียดทานจากสังคมลงแต่อย่างใด ตรงกันข้าม เสียงสะท้อนส่วนใหญ่กลับมองไปในทิศทางเดียวกันว่า “ความเมา” ไม่ใช่ข้ออ้างที่สังคมยุคปัจจุบันยอมรับได้ โดยเฉพาะเมื่อเป็นการใช้ถ้อยคำที่ลดทอนคุณค่าและศักดิ์ศรีของผู้หญิง ไม่ว่าผู้ถูกกระทำจะเป็นใคร มีสถานะทางสังคมแบบใด หรือมีชื่อเสียงเพียงใดก็ตาม คำถามสำคัญที่ถูกตั้งขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าคือ หากปกติโดมเป็นคนให้เกียรติผู้หญิงจริงอย่างที่กล่าวอ้าง ชุดความคิดเช่นนี้ไม่ควรหลุดออกมาจากจิตใต้สำนึก แม้ในยามขาดสติก็ตาม
กรณีนี้ยิ่งถูกจับตามองเป็นพิเศษ เพราะเกิดขึ้นในห้วงเวลาที่กฎหมายคุกคามทางเพศฉบับใหม่เพิ่งมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการ ทำให้ฝ่ายผู้เสียหายและทีมกฎหมายพิจารณาดำเนินคดีทั้งตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ และบทบัญญัติใหม่ในประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งครอบคลุมการคุกคามผ่านสื่อออนไลน์อย่างชัดเจน
นี่จึงไม่ใช่เพียงดราม่าทางศีลธรรม แต่กำลังจะกลายเป็น “คดีตัวอย่าง” ที่สังคมคาดหวังว่าจะสะท้อนให้เห็นว่ากฎหมายใหม่จะถูกบังคับใช้อย่างจริงจังเพียงใด และคนมีชื่อเสียงจะไม่สามารถใช้สถานะของตนเองเป็นเกราะกำบังได้อีกต่อไป
ในอีกมิติหนึ่ง สิ่งที่ทำให้ประเด็นนี้ละเอียดอ่อนยิ่งขึ้น คือการที่ผู้เสียหายเป็นบุตรสาวของหัวหน้าพรรคการเมืองอย่าง พรรคไทยสร้างไทย แม้ตัวคดีจะเป็นเรื่องส่วนบุคคล และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเมืองโดยตรง แต่ในโลกแห่งการรับรู้ของสังคม การเมืองไม่เคยแยกขาดจากภาพลักษณ์ของบุคคลสาธารณะได้อย่างสิ้นเชิง การที่คุณหญิงสุดารัตน์ออกมายืนหยัดปกป้องลูกสาวในฐานะแม่ ย่อมได้รับแรงสนับสนุนจากสังคมในแง่ของสิทธิและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ทว่าขณะเดียวกัน ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีบางกระแสพยายามโยงเรื่องนี้เข้ากับบริบททางการเมือง โดยเฉพาะการจับตาดูว่าพรรคจะวางท่าทีต่อประเด็นความรุนแรงทางเพศในสังคมอย่างไร
สำหรับพรรคไทยสร้างไทย แม้จะไม่ใช่คู่กรณี และไม่ควรถูกดึงเข้าไปเป็นจำเลยทางสังคม แต่กรณีนี้อาจกลายเป็นดาบสองคมในเชิงการเมือง ด้านหนึ่ง หากพรรคสามารถยืนบนหลักการอย่างชัดเจน สนับสนุนการบังคับใช้กฎหมายอย่างเท่าเทียม และย้ำจุดยืนเรื่องการปกป้องสิทธิผู้หญิงโดยไม่เลือกปฏิบัติ ก็อาจช่วยเสริมภาพลักษณ์ด้านความจริงจังต่อปัญหาสังคมร่วมสมัย แต่อีกด้านหนึ่ง หากมีการสื่อสารที่คลาดเคลื่อน หรือปล่อยให้สังคมมองว่าใช้เหตุการณ์นี้เป็นเครื่องมือทางการเมือง ก็อาจถูกตั้งคำถามกลับมาได้ไม่ยาก
เสียงสะท้อนจากสังคมออนไลน์ในเวลานี้จึงไม่ได้หยุดอยู่แค่การวิพากษ์พฤติกรรมของศิลปินคนหนึ่ง แต่ขยายไปถึงการเรียกร้องให้คดีนี้ถูกดำเนินไปจนถึงที่สุด เพื่อสร้างบรรทัดฐานใหม่ว่า การคุกคามทางเพศไม่ใช่เรื่องเล็ก และไม่ใช่เรื่องที่สามารถจบลงด้วยคำขอโทษสั้น ๆ ในอินสตาแกรมหรือเฟซบุ๊ก หลายความเห็นให้กำลังใจผู้เสียหายและครอบครัว พร้อมย้ำว่าไม่มีผู้หญิงคนใดควรต้องทนรับคำพูดที่ลดทอนคุณค่าของตนเอง ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะใดก็ตาม
เมื่อมองภาพรวมทั้งหมด กรณี “โดม ปกรณ์ ลัม” จึงไม่ใช่เพียงข่าวบันเทิงรายวัน หากแต่เป็นภาพสะท้อนของสังคมไทยในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ที่กฎหมายเริ่มเดินหน้า วัฒนธรรมการปล่อยผ่านเริ่มถูกตั้งคำถาม และการเมืองเองก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงแรงสะเทือนจากประเด็นสิทธิและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ได้อีกต่อไป คำว่า “เมา” อาจเคยใช้ได้ในอดีต แต่ในวันนี้ สังคมได้ส่งสัญญาณชัดเจนแล้วว่า มันไม่ใช่ข้ออ้างที่ใครจะยอมรับได้อีกแล้ว
#โดมปกรณ์ลัม #คุกคามทางเพศ #กฎหมายใหม่2568 #ศักดิ์ศรีผู้หญิง #ดราม่าคนดัง #สิทธิผู้หญิง #ข่าวสังคม







