การที่คะแนนนิยมของ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” และ “พรรคประชาธิปัตย์” ปรับตัวสูงขึ้นอย่างมีนัยยะ หลังกลับมารับตำแหน่งหัวหน้าพรรค (ผลสำรวจนิด้าโพล 30 พ.ย. และ 14 ธ.ค. 68) คือสัญญาณทางการเมืองที่น่าสนใจว่า นี่อาจเป็นปรากฏการณ์ที่สะท้อนความรู้สึกของสังคมไทยในห้วงเวลานี้
1. วิกฤตศรัทธาหลังการเลือกตั้ง 2566
การเมืองไทยหลังการเลือกตั้งปี 2566 ไม่ได้เดินหน้าไปด้วยความหวัง หากแต่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดหวัง สับสน และไม่แน่ใจ พรรคการเมืองใหญ่เผชิญกับ “วิกฤตความน่าเชื่อถือ” จากการตัดสินใจที่สวนทางกับความคาดหวังของฐานเสียงตนเอง
กรณีของ “พรรคเพื่อไทย” คือภาพสะท้อนที่ชัดเจนที่สุด การพลิกขั้วทางการเมือง ฉีก MOU กับพรรคส้ม หันไปจับมือกับขั้วตรงข้ามเพื่อแลกกับการจัดตั้งรัฐบาล ได้ทำให้พรรคสูญเสียสถานะ “ความหวังของฝ่ายเสรีนิยม” ไปในทันที
ความพยายามแปรสภาพตัวเองเป็น “อนุรักษ์นิยมใหม่” ก็ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะกลุ่มอนุรักษ์นิยมดั้งเดิมไม่อาจยอมรับพรรคที่เคยเป็นศัตรูทางการเมืองมายาวนาน ขณะที่ฝ่ายเสรีนิยมก็รู้สึกถูกทรยศทางอุดมการณ์
ผลลัพธ์คือ เพื่อไทยในเวลานี้กลายเป็นพรรคที่มีจุดยืนทางการเมืองสับสนและคลุมเครือที่สุด
2. ฝ่ายก้าวหน้า: ความศรัทธาที่เริ่มสั่นคลอน
เมื่อเพื่อไทยหลุดจากสมการ ฝ่ายเสรีนิยมและก้าวหน้าจำนวนมากได้เทคะแนนศรัทธาไปยัง “พรรคประชาชน” แม้ต้องเป็นฝ่ายค้าน แม้ต้องเผชิญการยุบพรรค (จากพรรคก้าวไกลเป็นพรรคประชาชน) คะแนนนิยมก็ยังสูง เพราะผู้สนับสนุนเชื่อว่า นี่คือพรรคที่ยืนหยัดในอุดมการณ์อย่างไม่ประนีประนอม
แต่การตัดสินใจทางการเมืองที่ผิดพลาด โดยเฉพาะการโหวตสนับสนุน “อนุทิน ชาญวีรกูล” หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เป็นนายกฯ ด้วยเหตุผลเชิงยุทธศาสตร์ ได้สร้างบาดแผลทางความรู้สึกให้กับฐานเสียงของพรรค แม้จะมีคำอธิบายเชิงเทคนิคทางการเมือง แต่ในสายตาผู้สนับสนุนจำนวนไม่น้อย นี่คือภาพของ “จุดยืนที่สั่นคลอน” และสำหรับพรรคที่เติบโตจากพลังศรัทธาและกระแสสังคม การสั่นคลอนเพียงครั้งเดียว อาจส่งผลรุนแรงกว่าที่คาดคิด
3. ประชาธิปัตย์ และการกลับมาของ “อภิสิทธิ์”
“พรรคประชาธิปัตย์” เองก็ไม่ต่างกัน การเลือกตั้งปี 2566 ได้ สส. เพียง 25 คน คือจุดต่ำสุดทางการเมือง แต่สิ่งที่ทำลายศรัทธาฐานเสียงเดิมอย่างแท้จริง คือการที่ผู้นำพรรคในเวลาต่อมา ตัดสินใจนำพรรคเข้าร่วมรัฐบาลเพื่อไทย พรรคคู่ขัดแย้งทางอุดมการณ์ที่ต่อสู้กันมายาวนาน
ประชาธิปัตย์ในช่วงนั้น ไม่ต่างจากพรรคที่หลงทางและไร้ตัวตน การกลับมาของ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” จึงมีความหมายมากกว่าการเปลี่ยนตัวหัวหน้าพรรค แต่มันคือการดึงอัตลักษณ์เดิมของพรรคกลับมา ความเป็นพรรคอนุรักษ์นิยมที่มีจุดยืนชัด ต่อต้านระบอบทักษิณอย่างตรงไปตรงมา และมีภาพลักษณ์ของความเป็นสถาบันทางการเมือง
4. เรตติ้งที่พุ่งขึ้นของ “ประชาธิปัตย์” บอกอะไรกับเรา
คะแนนนิยมที่เพิ่มขึ้นของอภิสิทธิ์และประชาธิปัตย์ในวันนี้ ในอีกมุมหนึ่งอาจกำลังสะท้อนว่า สิ่งที่สังคมไทยกำลังโหยหา นั่นก็คือ “ความชัดเจนทางการเมือง”
ในช่วงเวลาที่พรรคการเมืองจำนวนมากพร้อมจะเปลี่ยนขั้ว เปลี่ยนคำพูด และเปลี่ยนอุดมการณ์ตามสถานการณ์ แต่ผู้คนจำนวนไม่น้อยยังให้คุณค่ากับความมั่นคงทางจุดยืน มากกว่านโยบายที่หวือหวา
อภิสิทธิ์อาจไม่ใช่นักการเมืองที่ถูกใจทุกคน แต่เขาคือบุคคลที่สังคมอ่านออกว่า ยืนอยู่ตรงไหน และเชื่อมั่นในสิ่งใด ซึ่งในยุคที่การเมืองเต็มไปด้วยความคลุมเครือ ส่งผลให้ “ความชัดเจน” เป็นทรัพยากรที่มีค่าอย่างยิ่ง
ปรากฏการณ์เรตติ้งอภิสิทธิ์และประชาธิปัตย์ที่เพิ่มขึ้น คือสัญญาณเตือนและสัญญาณแห่งโอกาสในเวลาเดียวกันว่า “ความชัดเจนทางการเมือง” มีคุณค่า ถ้ามีอยู่แล้วก็อย่าทำลายทิ้ง เพราะไม่ว่าชนะหรือแพ้เลือกตั้ง ได้เป็นรัฐบาลหรือฝ่ายค้าน พรรคที่มีจุดยืนชัดเจน ก็ยังคงมีที่อยู่เสมอ ในหัวใจประชาชนจำนวนไม่น้อย
บทความโดย ศราวุธ เอี่ยมเซี่ยม
#อภิสิทธิ์เวชชาชีวะ #พรรคประชาธิปัตย์ #เรตติ้งการเมือง #จุดยืนทางการเมือง #วิกฤตศรัทธา #การเมืองไทย







