การเมืองไม่เคยปรานีคนลังเล และอำนาจไม่เคยรอคำอธิบายยืดยาว “ใครช้า คนนั้นแพ้ ใครคิดนาน คนนั้นถูกกินทั้งกระดาน”
ในห้วงเวลาที่การเมืองไทยสั่นสะเทือนจากทั้งศึกในสภาและไฟนอกประเทศนั้น วลีสั้น ๆ อย่าง “You know me, little go” จึงไม่ใช่ถ้อยคำหลุดปากไร้น้ำหนัก หากแต่เป็นประกาศเชิงอำนาจของผู้นำที่รู้ว่า เมื่อถึงจังหวะสำคัญ ต้องเดินหมากก่อนเสียงค้านจะดัง
อนุทิน ชาญวีรกูล ไม่ได้สื่อสารด้วยภาษาสละสลวย หากแต่สื่อสารด้วย “การตัดสินใจ” วลีที่ไม่ตรงหลักไวยากรณ์นี้กลับตรงกับหลักการเมืองอย่างเจ็บแสบ “You know me” คือการย้ำให้ทุกฝ่ายรู้ว่าเขาเป็นนักการเมืองแบบไหน ส่วน “little go” คือคำเตือนว่า เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องถกให้เสียเวลา เพราะเมื่อถึงคราว จะลงมือทันที นี่คือสไตล์นักการเมืองที่ไม่รอฉันทามติ แต่ใช้ผลลัพธ์เป็นเครื่องพิสูจน์
ขณะที่บรรยากาศทางสังคมในยามนี้ยิ่งส่งเสริมผู้นำสายแข็งให้ยืนเด่นเหนือกระแส เห็นได้จากผลโพลล่าสุดของสถาบันพระปกเกล้าได้สะท้อนอารมณ์ประชาชนอย่างตรงไปตรงมา นั่นคือการเมืองไทยถูกมองว่าแย่ลง และสิ่งที่ประชาชนโหยหาไม่ใช่คำอธิบายเชิงอุดมการณ์ หากแต่คือผู้นำที่ “เอาอยู่” ทั้งเศรษฐกิจและความมั่นคง พร้อมกับการจัดการคอร์รัปชันที่ถูกมองว่าเป็นต้นตอของความล่มสลายทั้งระบบ ในสภาพเช่นนี้ นักการเมืองที่กล้าตัดสินใจ ย่อมได้เปรียบเหนือผู้ที่มัวแต่ตั้งเวทีอภิปรายเชิงศีลธรรม
ภาพผู้นำที่ “ได้ใจประชาชน” ของอนุทินยิ่งชัดเจนขึ้น เมื่อเกิดกรณีการหารือทางโทรศัพท์กับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในประเด็นความขัดแย้งไทย–กัมพูชา ขณะที่ผู้นำสหรัฐฯ พยายามประกาศต่อสาธารณะว่าไทยและกัมพูชาได้ตกลงหยุดยิง และลดทอนเหตุการณ์ทหารไทยบาดเจ็บจากการเหยียบกับระเบิดว่าเป็นเพียง “อุบัติเหตุ” นายกรัฐมนตรีไทยกลับเลือกยืนคนละฝั่งอย่างชัดเจน โดยไม่เพียงปฏิเสธการหยุดยิงตามคำชี้นำ ทั้งยังยืนยันต่อหน้าสังคมโลกว่า ทหารไทยไม่ได้บาดเจ็บจากอุบัติเหตุ หากแต่เป็นผลจากการวางทุ่นระเบิดของกัมพูชา ซึ่งเป็นการละเมิดอธิปไตยและคุกคามชีวิตกำลังพลไทยอย่างแท้จริง
การกล้าโต้ตรงผู้นำมหาอำนาจ ไม่ยอมให้ความจริงถูกบิดเบือนด้วยถ้อยคำทางการทูตที่สวยหรู ได้สร้างภาพจำใหม่ให้กับอนุทินในสายตาประชาชน นี่ไม่ใช่แค่นายกรัฐมนตรีที่บริหารงานในประเทศ หากแต่เป็นผู้นำที่กล้ายืนหยัดปกป้องศักดิ์ศรีชาติ แม้ต้องเผชิญแรงกดดันจากเวทีโลก ท่าทีดังกล่าวไม่เพียงเรียกเสียงสนับสนุนจากกระแสชาตินิยม หากแต่ย้ำภาพ “ผู้นำที่ไม่ยอมก้มหัว” ซึ่งเป็นทุนทางการเมืองที่ทรงพลังยิ่งในห้วงวิกฤต
เมื่อเกมในประเทศเดินมาถึงจุดคับขัน การยุบสภาเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2568 จึงไม่ใช่การหนีปัญหา หากแต่เป็นการ “ตัดเกม” อย่างเลือดเย็น หมากเดียวนี้ปิดประตูญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ กลบกระแสขาลงทางการเมือง และทำให้กระบวนการแก้รัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะความพยายามตัดอำนาจ ส.ว. กลายเป็นหมันในทันที โดยไม่ต้องเสียแรงต่อสู้ในสภาแม้แต่นาทีเดียว
ความย้อนแย้งที่เจ็บปวดที่สุดคือ การยุบสภาเป็นสิ่งที่ฝ่ายค้าน โดยเฉพาะพรรคประชาชน เรียกร้องเอง แต่เมื่ออีกฝ่าย “ทำให้จริง” กลับกลายเป็นกับดักที่รัดคอผู้เรียกร้องอย่างสมบูรณ์ เป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์พังลงต่อหน้าต่อตา พื้นที่ตรวจสอบรัฐบาลหายไป และวาทกรรมที่เคยใช้โจมตีฝ่ายอำนาจ ถูกย้อนกลับมาทิ่มแทงผู้พูดอย่างไม่ปรานี
จากพรรคที่อ้างความชอบธรรมเชิงอุดมการณ์ พรรคประชาชนกลับถูกตั้งคำถามว่า อ่านเกมอำนาจผิดพลาดหรือไม่ เพราะการเมืองไม่ใช่เวทีแสดงความบริสุทธิ์ หากแต่เป็นสนามรบที่ผู้แพ้ไม่ถูกถามว่า “ตั้งใจดีแค่ไหน” แต่ถูกจดจำว่า “พลาดตรงไหน” และเพียงก้าวเดียวที่พลาด อาจต้องแลกด้วยทั้งกระดาน
ในยุคที่ประชาชนเบื่อคำอธิบายยาวเหยียด ผู้นำที่กล้าตัดสินใจและยืนหยัดในยามวิกฤต ย่อมส่งสารได้ดังกว่าคำปราศรัยใด ๆ “You know me, little go” จึงไม่ใช่แค่วลีติดปาก หากแต่คือคำประกาศของนักการเมืองที่เข้าใจดีว่า อำนาจไม่รอคนลังเล และความจริงต้องถูกพูดให้ชัด แม้ต้องพูดสวนทางกับมหาอำนาจโลกก็ตาม
ท้ายที่สุด คำถามที่แขวนอยู่เหนือสนามการเมืองไทยจึงไม่ใช่ว่า ใครพูดถูกต้องกว่า ใครอธิบายสวยงามกว่า หากแต่เป็นว่า ใครกล้าเดินหมากในจังหวะที่เดิมพันทั้งประเทศ และใครจะต้องจดจำบทเรียนราคาแพงว่า ในเกมอำนาจ ความผิดพลาดเพียงครั้งเดียว อาจหมายถึงการแพ้ทั้งกระดานโดยไม่มีโอกาสแก้ตัวอีกเลย
#YouKnowMeLittleGo #อนุทินชาญวีรกูล
#ยุบสภา2568 #การเมืองไทย #ศึกไทยกัมพูชา
#โต้ทรัมป์ #ปกป้องอธิปไตย #พรรคประชาชน
#เกมอำนาจ #สยามรัฐ #วิเคราะห์การเมือง
#เลือกตั้งใหม่ #รัฐบาลรักษาการ








