ท่ามกลางสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ที่กำลังคุกรุ่นจากเหตุปะทะเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2568 ซึ่งเริ่มต้นจากการเปิดฉากยิงของฝ่ายกัมพูชา จนนำไปสู่การตอบโต้ทางทหารของไทย สังคมส่วนใหญ่อาจกำลังเพ่งเล็งไปที่แสนยานุภาพของกองทัพ หรือความขัดแย้งเรื่องเส้นเขตแดนอันคุ้นเคย
แต่หากลองวางกล้องส่องทางไกลลง แล้วถอยออกมามองภาพกว้างของกระดานหมากรุก อาจเห็นความผิดปกติบางอย่างที่ซ่อนอยู่หลังม่านควันปืน ซึ่งนำมาสู่คำถามสำคัญที่ว่า “สงครามครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะปัญหาชายแดน หรือเกิดขึ้นเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากอะไรบางอย่าง ?”
1. ความผิดปกติของ “กระสุนนัดแรก”
ในทางยุทธศาสตร์ทหาร การเป็นฝ่าย “เปิดฉากยิงก่อน” ใส่คู่ต่อสู้ที่มีศักยภาพทางการทหารเหนือกว่า นับเป็นการตัดสินใจที่สุ่มเสี่ยงและดูจะผิดวิสัย โดยเฉพาะในบริบทที่กัมพูชาพยายามสร้างภาพลักษณ์ว่าตัวเองเป็น “เหยื่อ”
การกระทำนี้เปรียบเสมือนการยื่น “ความชอบธรรม” ใส่พานทองให้ไทยสามารถใช้มาตรการขั้นเด็ดขาดตอบโต้ได้ทันที คำถามที่ตามมาก็คือ ผู้นำกัมพูชาคำนวณพลาดทางยุทธศาสตร์ ? หรือนี่คือ “ความจำเป็น” ที่ต้องยอมแลกด้วยราคาที่แพงลิบลิ่ว เพื่อรักษาอะไรบางอย่างไว้ ?
2. ไทม์ไลน์ที่ทับซ้อน: ตัดสินใจผิดพลาดหรือจงใจ ?
หากย้อนไปยังเหตุการณ์ก่อนหน้าเสียงปืนแตกเพียงไม่นาน จะพบจุดตัดที่น่าสนใจ นั่นคือปฏิบัติการของทางการไทยในการบุกยึดและอายัดทรัพย์สินเครือข่าย “ทุนเทาสแกมเมอร์” มูลค่ามหาศาลร่วมหมื่นล้านบาท ซึ่งหลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่า มีเส้นทางการเงินเชื่อมโยงลึกซึ้งกับผู้นำกัมพูชา
เป็นไปได้หรือไม่ว่า เงินจำนวนมหาศาลก้อนนี้ ไม่ใช่แค่กำไรจากธุรกิจมืด แต่เปรียบเสมือน “ท่อน้ำเลี้ยง” หรือ “กล่องดวงใจ” ที่หล่อเลี้ยงองคาพยพแห่งอำนาจ ?
เมื่อท่อน้ำเลี้ยงถูกบีบจนตีบตัน ภาวะขาดเลือดฉับพลันทางเศรษฐกิจของกลุ่มอำนาจ จึงอาจเป็นแรงขับดันให้ต้องสร้างสถานการณ์ที่ใหญ่กว่าขึ้นมากลบเกลื่อน ?
3. สงครามเบี่ยงเบนความสนใจ
ในทางรัฐศาสตร์ มีทฤษฎีที่เรียกว่า “Diversionary War” หรือสงครามเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ
(1) หากไทยมุ่งกำลังทั้งหมดไปที่การรบพุ่งชายแดน ระดมกำลังทหารและงบประมาณไปที่แนวหน้า ใครกันแน่ที่จะได้ประโยชน์ ?
(2) เสียงปืนใหญ่ที่ดังกึกก้อง อาจถูกใช้เพื่อกลบเสียงของการโยกย้ายถ่ายเททรัพย์สินของกลุ่มทุนเทา ที่กำลังถูกไล่ต้อนหรือไม่ ?
(3) และที่น่าตั้งคำถามที่สุดคือ ผู้นำกัมพูชาอาจกำลังเดิมพันด้วยชีวิตของทหารและพลเรือนของตนเอง เพียงเพื่อปกป้องกลุ่มธุรกิจสีเทาเหล่านี้หรือไม่ ?
4. ยุทธศาสตร์ “แนวรบคู่ขนาน”
หากสมมติฐานข้างต้นมีความเป็นไปได้ การที่ไทยจะเดินหน้าตอบโต้ด้วย “กำลังทหาร” เพียงอย่างเดียว อาจเท่ากับกำลังเดินตามเกมที่อีกฝ่ายกำหนดไว้ ดังนั้นเพื่อให้ได้ชัยชนะที่แท้จริงและยั่งยืน ไทยจำเป็นต้องพิจารณา “เปิดแนวรบคู่ขนาน”
(1) แนวรบทางทหาร: ใช้สิทธิป้องกันตัวและตอบโต้ตามความเหมาะสม เพื่อตรึงกำลังและแสดงจุดยืนที่ชัดเจน
(2) แนวรบปราบสแกมเมอร์: แนวรบนี้ คือการโจมตีที่กล่องดวงใจ ด้วยปฏิบัติการกวาดล้างสแกมเมอร์อย่างหนักหน่วง สกัดกั้นเส้นทางการเงินอย่างดุเดือด ในช่วงเวลาที่ชายแดนกำลังวุ่นวาย อาจเป็นยุทธวิธีที่ทำให้อีกฝ่ายเจ็บปวดที่สุด
สถานการณ์ชายแดนครั้งนี้ อาจไม่ได้ซับซ้อนด้วยเรื่องภูมิรัฐศาสตร์ แต่มันอาจซับซ้อนด้วยเรื่องของ “ผลประโยชน์”
หากไทยสามารถดำเนินยุทธศาสตร์ทั้งสองด้านไปพร้อมกันได้ มือหนึ่งถือปืนปกป้องเขตแดน อีกมือหนึ่งถือกฎหมายฟาดฟันท่อน้ำเลี้ยงจากกลุ่มทุนสแกมเมอร์ เราอาจจะได้เห็นคำตอบที่ชัดเจนขึ้นว่า แท้จริงแล้วความมั่นคงของผู้นำกัมพูชา ตั้งอยู่บนฐานของความศรัทธาจากประชาชน หรือตั้งอยู่บนกองเงินของกลุ่มทุนสีเทากันแน่ ?
บทความโดย ศราวุธ เอี่ยมเซี่ยม
#ชายแดนไทยกัมพูชา #รบคู่ขนาน #ทุนเทา #ปราบสแกมเมอร์ #ฮุนเซน #ความมั่นคง #การเมืองวันนี้ #ข่าวการเมือง #วิเคราะห์การเมือง #ไทยกัมพูชา








