บทความ บทวิเคราะห์

อาฟเตอร์ บึ้ม-น้ำท่วม จับตา “บิ๊กปู” จัดทัพใต้ใหม่ วัดใจ เปลี่ยนตัว “แม่ทัพภาค 4” ชี้ชะตา “นรธิป-วรเดช-ชาคริต”

แชร์ข่าว

ผู้การวิศรุฒน์

เก้าอี้แม่ทัพภาค 4 ใช่ว่า ผบ.ทบ. จะเอาใครมาเป็นก็ได้ ในอดีต ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในเวลานั้น เคยส่ง “บิ๊กตุ้ย” พล.อ. ทรงกิตติ จักกาบาตร์ เพื่อนเตรียมทหาร 10 จาก รองเจ้ากรมข่าวทหาร กองบัญชาการทหารสูงสุด ลงมาเป็นรองแม่ทัพภาคที่ 4 จากนั้น ก็ขึ้นแม่ทัพภาค 4 เมษายน 2546 

ในขณะที่ทักษิณ ต้องการลดอำนาจทหาร สั่งยุบ หน่วยผสมพลเรือนตำรวจทหาร (พตท. 43) โดยได้รับข้อมูลจากหน่วยในพื้นที่ว่า โจรใต้ ขบวนการแบ่งแยกดินแดน (ขจก.) หมดไปแล้ว เหลือแต่โจรกระจอก ซึ่งเป็น “ข่าวลวง” ที่โจรใต้ แกล้งตาย และออกข่าวในพื้นที่ว่า ขจก. ไม่มีแล้ว เหลือแค่ 20-30 คน เท่านั้น ก่อนที่ จากนั้น ม.ค. 2547 โจรใต้ประกาศตัวว่ายังอยู่ ด้วยการปล้นปืนในค่ายทหาร ที่เจาะไอร้อง จ. นราธิวาส และเกิดสถานการณ์รุนแรงขึ้นตามมาจนปัจจุบัน 

แต่ในห้วงนั้น พล.อ. ทรงกิตติ ได้ถูกย้ายระนาบ มาเป็น ผบ. รร. นายร้อย จปร. ก่อนแล้ว หลังเป็นแม่ทัพภาค 4 ได้แค่ 6 เดือน และมี “บิ๊กแจก” พล.อ. พงษ์ศักดิ์ เอกบรรณสิงห์ มาเป็นแม่ทัพภาค 4 แทน แต่ก็อยู่ได้แค่ไม่กี่เดือน หลังเหตุปล้นปืน ที่สุดก็ถูกย้ายออก ใน มี.ค. 2547

จากนั้น ทักษิณ ก็ส่ง “บิ๊กอ๊อด” พล.อ. พิศาล วัฒนวงษ์คีรี นายทหารที่สนิทสนม มาเป็นแม่ทัพภาค 4 แต่ก็มาเจอเหตุการณ์ “ตากใบ นราธิวาส” จนถูกย้ายออก ใน มี.ค. 2548

จนมาอีกครั้ง ในยุค “บิ๊กตู่” พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็น ผบ.ทบ. ก่อนรัฐประหาร 22 พ.ค. 2557 พล.อ. ประยุทธ์ เลือก “บิ๊กต๊อก” พล.อ. ไพบูลย์ คุ้มฉายา ขึ้นแม่ทัพภาค 1 ทำให้ “บิ๊กอู๊ด” พล.อ. วลิต โรจนภักดี พลาดเก้าอี้ พล.อ. ประยุทธ์ จึงส่งมาเป็นแม่ทัพภาค 4 เป็นการชดเชย และเป็นพลโท แต่ที่สุดก็อยู่ได้แค่ 6 เดือน จึงย้ายกลับมาเป็น รองเสธ.ทหาร

บทเรียนในอดีตเคยมีมาแล้ว ในการใช้เก้าอี้แม่ทัพภาค 4 รองรับการโยกย้ายที่ไม่ลงตัว หรือ เพื่อตอบแทนด้วยยศ ตำแหน่ง แต่เวลาล่วงเลยมานานแล้ว 

มาในยุคนี้ ในการโยกย้าย ต.ค. 2568 “บิ๊กปู” พล.อ. พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผบ.ทบ. ก็ส่ง “บิ๊กยูร” พล.ท. นรธิป โพยนอก รองแม่ทัพภาค 2 ที่เติบโตจากอีสาน กองทัพภาค 2 เพื่อนร่วมรุ่น ตท. 26 ลงมาเป็นแม่ทัพภาค 4 ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ เนื่องจาก พล.ท. นรธิป ถือเป็นทหารนอกพื้นที่ แม้จะเคยลงมาปฏิบัติหน้าที่ในชายแดนภาคใต้ก่อนหน้านี้บางช่วงคราวในนามกองทัพภาค 2 ก็ตาม 

มีรายงานว่าเหตุผลหนึ่งที่ พล.อ. พนา ต้องส่ง พล.ท. นรธิป ลงมาเป็นแม่ทัพภาค 4 ก็เพื่อชดเชยที่ไม่ได้ขึ้นเป็นแม่ทัพภาค 2 เนื่องจาก พล.อ. พนา ตัดสินใจเลือก “บิ๊กเติ่ง” พล.ท. วีระยุทธ รักศิลป์ รองแม่ทัพภาค 2 ในเวลานั้น และเพื่อนร่วมรุ่นเตรียมทหาร 26 เช่นกัน ขึ้นมาเป็นแม่ทัพภาค 2 เนื่องจากเป็นความชอบธรรมเพราะเติบโตมาทุกตำแหน่งในพื้นที่อีสานใต้ 

นอกจากนั้นยังเป็นเพราะต้องการจะจัดระเบียบอำนาจในกองทัพภาค 4 ใหม่ จึงไม่ต่อเวลาให้ พล.ท. ไพศาล หนูสังข์ แม่ทัพภาค 4 ในเวลานั้น จากเตรียมทหารรุ่น 25 ที่นั่งมา 1 ปี และมีความประสงค์จะนั่งต่ออีก 1 ปีจนเกษียณราชการ ต.ค. 2569 

แม้ว่า พล.ท. ไพศาล จะเป็นเพื่อนสนิท ตท. 25 ของ ร.อ. ธรรมนัส พรหมเผ่า แกนนำรัฐบาลในเวลานั้น แต่ พล.อ. พนา ก็เลือกที่จะให้ พล.ท. ไพศาล ขยับขึ้นเป็นพลเอก ที่ปรึกษาพิเศษกองทัพบก 

เพราะก็มองว่า พล.ท. ไพศาล ก็เติบโตมาในขั้วอำนาจเก่าในกองทัพภาค 4 ที่มีการวางตัวเป็นแม่ทัพภาค 4 ต่อเนื่องกันมาถึง 4 คน นับตั้งแต่ “บิ๊กเดฟ” พล.อ. พรศักดิ์ พูลสวัสดิ์ ต่อด้วย “บิ๊กเกรียง” พล.อ. เกรียงไกร ศรีรักษ์ “บิ๊กต้น” พล.อ. ศานติ ศกุนตนาค 

ไม่แค่นั้น พล.อ. พนา ยังขยับ “บิ๊กอ้วน” พล.ท. วรเดช เดชรักษา จากรองแม่ทัพภาค 4 ซึ่งถูกวางตัวให้ขึ้นเป็นแม่ทัพภาค 4 คนต่อไปในเวลานั้น ต่อจาก พล.ท. ไพศาล เพราะเป็นน้องรักของ 3 อดีตแม่ทัพภาค 4 แต่ก็ได้เป็นพลโท มาเป็น ผอ. ศปป. 3 กอ. รมน. 

ข่าวบางกระแสในพื้นที่วิจารณ์กันว่านอกจาก จะเป็นการเปลี่ยนขั้วอำนาจในกองทัพภาค 4 แล้วยังเป็นการแข่งขันภายในระหว่างเตรียมทหารรุ่น 26 และเตรียมทหารรุ่น 27 เนื่องจาก พล.ท. วรเดช เป็นเตรียมทหารรุ่น 27 

ในขณะที่ พล.อ. พนา ดันเพื่อนร่วมรุ่นเตรียมทหารรุ่น 26 ขึ้นคุมอำนาจและตำแหน่งสำคัญในกองทัพบกทั้งหมด รวมถึงระดับแม่ทัพภาคทุกกองทัพภาค ยกเว้นกองทัพภาค 1 ที่เป็นเตรียมทหารรุ่น 28 เนื่องจากเป็นกองทัพภาคเดียว ที่เป็นทหารคอแดง เพราะแม่ทัพภาค 1 ยังดำรงตำแหน่ง ผบ. ฉห. ทม. รอ. 904 ด้วย จึงอยู่นอกเหนืออำนาจของ พล.อ. พนา แม้จะเป็น ผบ.ทบ. ก็ตาม 

แต่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องของโชคชะตา เพราะเมื่อ พล.ท. นรธิป มาเป็นแม่ทัพภาค 4 เมื่อ 1 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา ก็เกิดสถานการณ์ความรุนแรงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องหลายครั้งใหญ่ จนมีการตั้งข้อสังเกตกันว่าเป็นการรับน้อง ต้อนรับแม่ทัพภาค 4 คนใหม่ ที่มาจากภาคอีสานหรือไม่ 

แม้ว่า พล.ท. นรธิป จะตั้งใจในการปฏิบัติหน้าที่แม่ทัพภาค 4 เพราะรู้จุดอ่อนของตัวเองที่เติบโตมาจากภาคอีสาน แม้จะขยันลงพื้นที่ แต่ก็ต้องยอมรับว่าเหมือนเป็นการมานับหนึ่งใหม่ กว่าที่จะคุ้นเคยและจดจำสภาพภูมิประเทศของแต่ละตำบล อำเภอ และจังหวัด ในชายแดนภาคใต้ได้หมด รวมถึงต้องจดจำและรับรู้สภาพปัญหาและโครงสร้างของกลุ่มก่อความไม่สงบในแต่ละพื้นที่ ให้ได้อีกด้วย 

ประการสำคัญเมื่อเป็นทหารอีสาน ที่ลงมาอยู่ชายแดนใต้ ท่ามกลางนายทหารที่เติบโตหรือรับราชการในพื้นที่มายาวนาน จึงอาจยังไม่ได้รับความเชื่อถือศรัทธาในการปฏิบัติหน้าที่แม่ทัพภาค 4 เท่าที่ควร 

อีกทั้งยังมีการปล่อยกระแสข่าวลือต่าง ๆ จากในพื้นที่ ออกมาเป็นระยะ แม้จะมีการวิเคราะห์กันว่า พล.ท. นรธิป อาจถูกกลุ่มอำนาจเก่าท้าทายและทดสอบความสามารถอยู่บ้างก็ตาม แต่ก็มีกระแสข่าวหลายเรื่อง ก็ถูกทำให้มีน้ำหนัก 

แม้ว่า พล.อ. พนา จะลงพื้นที่ชายแดนใต้ไปเยี่ยมพบปะพูดคุยและให้กำลังใจ พล.ท. นรธิป เพื่อนร่วมรุ่น ก็ตาม แต่สถานการณ์ก็ไม่ส่อเค้าว่าจะดีขึ้น แม้ว่า พล.อ. พนา จะมีนโยบายในการนำกำลังทหารจากกองทัพภาค 1 และกองทัพภาค 3 ลงมาเสริมกำลังในพื้นที่ก็ตาม แต่กลับเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า นอกจากมีแม่ทัพภาค 4 เป็นทหารอีสานนอกพื้นที่แล้ว ยังเอาทหารนอกพื้นที่ จากกองทัพภาคอื่น มาทำงานในชายแดนภาคใต้ และ ต้องมาเรียนรู้พื้นที่เริ่มต้นกันใหม่ แม้ว่าในอดีตยุคที่ “บิ๊กป๊อก” พล.อ. อนุพงษ์ เผ่าจินดา เป็นผู้บัญชาการทหารบก จะเคยใช้กำลังนอกพื้นที่จากกองทัพภาคอื่นลงมาเสริมกำลังบ้างแล้วก็ตามแต่ก็ไม่สามารถทำให้สถานการณ์ดีขึ้น 

ตรงกันข้ามเป็นการเพิ่มภาระให้กับกองทัพภาค 1 และกองทัพภาค 3 ที่กำลังพลไม่เพียงพอกับภารกิจปกติอยู่แล้ว โดยเฉพาะเมื่อเกิดสถานการณ์ความตึงเครียดที่ชายแดนไทย-กัมพูชา จนเกิดการสู้รบการเกิดขึ้น กำลังทหารจากกองทัพภาค 1 และกองทัพภาค 3 ถูกส่งมาเสริมกำลังในพื้นที่ชายแดนอีสานใต้ เพราะกำลังของกองทัพภาค 2 ไม่เพียงพอ 

แต่ในห้วงปลายเดือนกันยายนและต้นเดือนตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา ก็ต้องมีการโยกกำลังทหารกองทัพภาค 1 กลับจากชายแดนไทย-กัมพูชา ลงไปเสริมกำลังในชายแดนภาคใต้ ตามนโยบายของ พล.อ. พนา จนทำให้เกิดความโกลาหล ในเรื่องการโยกย้ายกำลังพล ที่มีอยู่อย่างจำกัด 

ขณะที่เสียงระเบิดยังคงดังต่อเนื่องเป็นระยะในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ ที่ทำให้ พล.ท. นรธิป ต้องเคร่งเครียดกับสถานการณ์ 

จู่ ๆ ก็เกิดวิกฤติน้ำท่วมครั้งใหญ่ในพื้นที่ภาคใต้โดยเฉพาะที่หาดใหญ่ จ. สงขลา โดยที่กองทัพภาค 4 ก็ไม่ได้มีการเตรียมตัวในการรับมือและช่วยเหลือประชาชนไว้เลย 

แม้ว่ากระแสสังคมจะพุ่งเป้าเรียกร้องความรับผิดชอบจากระดับท้องถิ่นในส่วนของนายกเทศมนตรีหาดใหญ่ และในระดับรัฐบาลคือ นายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกูล ก็ตาม แต่ในฐานะที่ดูแลพื้นที่ 14 จังหวัดภาคใต้ ถือว่าเป็นพื้นที่รับผิดชอบของแม่ทัพภาค 4 ด้วยเช่นกัน

 และก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงการช่วยเหลือที่ล่าช้า เพราะแม้มีกำลังทหารกองทัพภาค 4 อยู่ในพื้นที่ ทั้งในส่วนภาคใต้ตอนบน และในพื้นที่หาดใหญ่ และในชายแดนภาคใต้อยู่แล้วก็ตาม แต่ก็ไม่ทันสถานการณ์ 

แม้ว่ากองทัพบกจะส่งกำลังเสริมจากทหารรบพิเศษ และส่วนต่าง ๆ มาช่วยในพื้นที่ แต่สถานการณ์น้ำท่วมก็มาเร็วไปเร็ว ในห้วง 3 วันแรก กว่ากำลังทหารส่วนอื่น รวมถึงเหล่าทัพอื่น จะมาถึง น้ำก็เริ่มลดแล้ว 

แต่ด้วยเพราะบุญเก่าของกองทัพ ที่ยังมีคะแนนนิยมจากสถานการณ์การสู้รบชายแดนไทย-กัมพูชาเมื่อเดือนกรกฎาคม 2568 กระแสสังคมจึงไม่โจมตีฝ่ายทหาร เพราะทหารก็เป็นกำลังส่วนใหญ่ที่ลงมาช่วยประชาชนในพื้นที่ และทำให้ พล.ท. นรธิป และกองทัพภาค 4 ไม่ได้ถูกทัวร์ลงโดยตรง แต่ก็ตามมาด้วยเสียงวิจารณ์ในเชิงตั้งคำถาม จากระดับผู้บังคับบัญชาในกอง และรวมถึงรัฐบาล 

จนทำให้นายกรัฐมนตรี ต้องแต่งตั้งผู้บัญชาการทหารสูงสุด มาเป็น หัวหน้า ศปกฉ. ส่วนหน้า และนำกำลังทหารพัฒนาของกองบัญชาการกองทัพไทยลงมาช่วยกองทัพบกในการรับผิดชอบโซนต่าง ๆ ตั้งแต่น้ำยังไม่ลดจนมาถึงการฟื้นฟูและเยียวยา โดย ผบ. หยอย พลเอก อุกฤษฏ์ บุญตานนท์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดลงมาอยู่บัญชาการในพื้นที่ตั้งแต่ต้น จนในห้วงน้ำลดและการฟื้นฟู 

จนทำให้เกิดกระแสข่าวลือในพื้นที่ภาคใต้ ว่าในห้วงการแต่งตั้งโยกย้ายในห้วงเดือนมีนาคม-เมษายน 2569 อาจจะมีการเปลี่ยนตัวแม่ทัพภาค 4 หรือไม่จากผลการปฏิบัติหน้าที่ที่ผ่านมา ประกอบกับความเครียดต่อภาระหน้าที่ที่รับผิดชอบ และเสียงวิจารณ์ว่าเป็นคนนอกพื้นที่ที่ไม่เชี่ยวชาญและไม่เข้าใจพื้นที่ 

อีกทั้งในอดีตก็มีหลายครั้งที่แม่ทัพภาค 4 นั่งในตำแหน่งแค่ 6 เดือน เพราะแม่ทัพภาค 4 กลายเป็นตำแหน่งที่เป็นทุกขลาภ แม้ได้ตำแหน่งได้ยศพลโท แต่ต้องมาอยู่กลางดงระเบิด และไม่ปลอดภัย และมีความเครียดสะสม 

ดังนั้นจึงอยู่ที่การตัดสินใจของ พล.อ. พนา ว่าจะดำรงความมุ่งหมายในการจัดขั้วอำนาจใหม่ในกองทัพภาค 4 ต่อไปหรือไม่ และจะเห็นใจ พล.ท. นรธิป หรือไม่ 

แต่ก็ต้องดูว่ามีนายทหารที่เหมาะสมที่จะขึ้นเป็นแม่ทัพภาค 4 คนใหม่ แทน เพราะในปัจจุบันมีรองแม่ทัพภาค 4 อยู่ 3 คน คือ พล.ต. เฉลิมพร ขำเขียว และ พล.ต. กรกฎ ภู่โชติ แต่มี “รองคิ้ว” พล.ต. ชาคริต อุจจะรัตน แกนนำเตรียมทหาร รุ่น 28 ที่เติบโตมาจากทหารบกพิเศษและลงมาทำงานชายแดนภาคใต้หลายปี ถูกจับตามองว่าอาจจะขึ้นเป็นแม่ทัพภาค 4 คนใหม่ 

แต่ก็ต้องจับตามองความเคลื่อนไหวของ 3 อดีตแม่ทัพภาค 4 ที่ถูกมองว่าเป็นกลุ่มขั้วอำนาจเก่าในพื้นที่ ว่าจะยังคงผลักดันให้ พล.ท. วรเดช ขยับจาก กอ. รมน. กลับมาเป็นแม่ทัพภาค 4 ได้หรือไม่ 

เพราะ พล.อ. พรศักดิ์ ก็เป็นเพื่อนเตรียมทหารรุ่น 20 กับ “บิ๊กเล็ก” พล.อ. ณัฐพล นาคพานิชย์ รมว. กลาโหม ส่วน พล.อ. เกรียงไกร รองประธาน สว. ก็ถูกมองว่าเป็นสายสีน้ำเงิน และเป็นเพื่อนรักร่วมรุ่น วปอ. 61 ของนายกฯ อนุทิน ขณะที่ พล.อ. ศานติ ก็เป็นเพื่อนร่วมรุ่นเตรียมทหาร 25 ของ ร.อ. ธรรมนัส 

ทั้งหมดนี้จึงขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของ พล.อ. พนา ว่าจะให้ พล.ท. นรธิป เครียดต่อ สู้ต่อ ทำหน้าที่ต่อไปอีก 6 เดือนจนโยกย้าย ตุลาคม 2569 

หรือว่าจะดำรงความมุ่งหมายในการจัดระเบียบขั้วอำนาจในกองทัพภาค 4 ต่อไป หรือว่าจะให้คนที่มีความเหมาะสม มาเป็นแม่ทัพภาค 4 แทน 

เพราะในยุคนี้ พล.อ. พนา ถือว่าเป็น ผบ.ทบ.ที่มีเก้าอี้มั่นคงแข็งแรงและมีอำนาจมากคนหนึ่ง เพราะจะนั่งเก้าอี้ ผบ.ทบ. นานถึง 3 ปี