บอย อินชัวร์
ประเทศไทยเรามีปัญหาอุทกภัยใหญ่ ๆ ที่พอจะเห็นก็ในปี 2543 และปี 2553 ซึ่งถือว่า หนักสุดสำหรับคนไทย และหาดใหญ่ที่ผู้คนกล่าวถึงกันอย่างมากทีเดียว โดยเฉพาะฟากธุรกิจประกันที่ต้องใช้เงินจำนวนมหาศาลจ่ายค่าสินไหมน้ำท่วมสูงเป็นประวัติการณ์
โดยในปี 2543 ในพื้นที่น้ำท่วมขยายเป็นกว่า 320 ตารางกิโลเมตร มูลค่าความเสียหายพุ่งสูงขึ้นเป็น 18,000 ล้านบาท มีประชาชนเสียชีวิตถึง 30 ราย แม้พื้นที่ส่วนใหญ่ราวร้อยละ 80 ที่ถูกน้ำท่วมจะเป็นพื้นที่เกษตรกรรม แต่การเกิดอุทกภัยในพื้นที่ซึ่งเป็นศูนย์กลางทางการค้าอย่างเทศบาลนครหาดใหญ่* ก็ส่งผลกระทบอย่างมากต่อเศรษฐกิจและสังคม
ขณะที่สถานการณ์อุทกภัยในปี พ.ศ. 2553 ถือเป็นอุทกภัยครั้งร้ายแรงครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2543 อุทกภัยครั้งนั้นเสียชีวิต 20 ราย เกิดขึ้นในอำเภอหาดใหญ่และอำเภอใกล้เคียงอีก 16 อำเภอ ในหลายพื้นที่พบว่ามีน้ำท่วมสูงถึง 3 เมตร ตามการรายงานของนายกเทศมนตรีหาดใหญ่ ไพร พัฒโน ระบุว่าพื้นที่ในเขตเมืองได้รับผลกระทบถึง 80%
โดยมหาอุทกภัยปี 2553 เป็นเหตุการณ์เกิดน้ำท่วมไทยหนักที่สุดในรอบหลายสิบปี เนื่องจากมีฝนตกหนักในหลายพื้นที่ ในช่วงเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างหนักทั้งชีวิตและทรัพย์สินในหลายพื้นที่ สื่อหลายแห่งระบุว่า อุทกภัยครั้งนี้เริ่มขึ้นตั้งแต่วันที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2553 โดยน้ำท่วมครั้งนี้เรียกว่า ทำเอาบรรดาบริษัทประกันภัยเจ็บสาหัส*ทีเดียว โดยต้องเพิ่มทุนมหาศาลเพื่อเสริมสภาพคล่องและเพิ่มขีดความสามารถรับประกันจำนวนมาก
ตลอดจนภาครัฐในปี 2554 ต้องตั้งกองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติ* หลังเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในปีนั้น เพื่อเพิ่มขีดความสามารถรับประกันทรัพย์สินและอำนาจต่อรองกับบริษัทรับประกันภัยต่อต่างประเทศขณะนั้น ที่ขาดความเชื่อมั่นประกันภัยไทยในบ้านเรา แม้ว่าจะยังไม่มีการจ่ายค่าสินไหมทดแทนในปีแรก แต่กองทุนก็มีรายได้จากเบี้ยประกัน 389 ล้านบาท จนในที่สุดเวลาต่อมา ก็เลิกกองทุนไปโดยปริยายในเวลาต่อมา เมื่อสถานการณ์รับประกันภัยต่อบ้านเราดีขึ้น
นายอานนท์เทียบให้ฟังว่า พื้นที่น้ำท่วมหรือมหาอุทกภัยในปี 53 และ 54 น้ำมันจะท่วมเป็นระยะเวลานานกว่า และที่สำคัญน้ำส่วนใหญ่จะท่วมเข้าไปในนิคมอุตสาหกรรม จึงทำให้เกิดความเสียหายจำนวนมาก โดยค่าสินไหมที่บริษัทจ่ายในปีนั้นสูงถึง 3 แสนกว่าล้านบาท คิดเป็น 2 ใน 3 ของค่าสินไหมทั้งหมด 4 แสนกว่าล้านบาท โดยพื้นที่หลายจังหวัดทางเหนือ ภาคกลาง หรือจังหวัดอยุธยา โดยปกติแล้วจะเป็นพื้นที่รับน้ำ น้ำจะท่วมเฉพาะพื้นที่นอกเมือง เพราะฉะนั้นความเสียหายในเมืองจึงไม่รุนแรง ซึ่งจะแตกต่างไปจากหาดใหญ่ จ.สงขลา และหลายจังหวัดทางใต้ที่เกิดน้ำท่วมจะท่วมในตัวเมืองเยอะในระยะหลังนี้
นายอานนท์ เชื่อว่า หลายฝ่ายที่เกี่ยวข้องคงจะประมาท เพราะไม่คาดคิดว่าจะเกิดน้ำท่วมใหญ่ขนาดนี้ จริงอยู่แม้ว่าในพื้นที่หาดใหญ่จะเป็นพื้นที่แอ่งกระทะก็จริง และหาดใหญ่ก็อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเล น้ำที่ท่วมน่าจะไหลลงทะเล ดังนั้นจึงคิดว่า น้ำคงท่วมแค่ 4-5 วันก็คงน้ำลดลงแล้ว ประกอบกับคงคาดไม่ถึง เพราะคิดว่า น้ำท่วมหาดใหญ่น่าจะคลี่คลายลงไปได้ เพราะคิดว่าระดับน้ำยังต่ำกว่าตลิ่ง และคิดว่าคลองอู่ตะเภา และคลอง ร.1 น่าจะเอาอยู่ และคิดว่าคงสบายใจในการรับมือกับน้ำท่วมไหว
น้ำท่วมหาดใหญ่ครั้งนี้คงเป็นบทเรียน ให้ทุกหน่วยงานและประชาชนทุกคนที่เกี่ยวข้องควรจะต้องระวังนับจากนี้ เพราะน้ำที่ท่วมใหญ่ในหาดใหญ่ปรากฏว่าครั้งนี้เป็นน้ำที่มาจากคนละทิศกัน โดยเป็นน้ำฝนที่มาทางเขาคอหงส์ ไหลไปที่สะเดา ลงไปที่จังหวัดนครศรีธรรมราช และไหลมารวมที่ อ.หาดใหญ่หมดเลย โดยเป็นปริมาณน้ำเที่ยวนี้ขนาด 300 กว่ามิลลิเมตร ที่ไหลลงมาพรวดเดียว ซึ่งมันเกินกำลังคลองจะรับได้ โดยไม่ใช่คลองไม่ทำงาน ดังนั้นจึงทำให้เสียหายหาดใหญ่หนักมาก และน้ำท่วมนานกว่าทุกปี
พูดถึงค่าเสียหายในภาพรวมนั้น นายอานนท์ กล่าวว่า “เดี๋ยวรอดูอีก 3-4 วัน ว่ามีปริมาณเคลมเท่าไหร่ แต่ผมว่า ตัวทรัพย์สิน หรือบ้านเรือนอยู่อาศัยจริง ๆ แล้วน่าจะเคลมง่าย ไม่น่ามีปัญหา บ้านหลังหนึ่งจะมีข้อจำกัดคุ้มครองอยู่แล้วอยู่ที่ 2-3 หมื่นบาท บริษัทประกันสามารถจ่ายได้เลย โดยใช้โมเดลญี่ปุ่น เช่นเดียวกับประกันรถยนต์ ถ้าน้ำท่วมระดับไหน ก็จ่ายตามที่คปภ. กำหนด เพื่อให้ประชาชนที่เขาเดือดร้อนจะได้ไม่ต้องรอหรอก และนำเงินที่ได้รับนำไปซ่อมแซมบ้านและพาหนะ ซึ่งบริษัทประกันก็มีกรมธรรม์อยู่ในมืออยู่แล้ว
ยิ่งถ้าเป็นตัวแทนนายหน้าประกันด้วย ก็ยิ่งง่ายใหญ่ เพียงแต่ว่า ถ้ามีภาพถ่ายสักใบ พร้อมบัตรประชาชน รวมถึงหน้าบัญชีเสนอเข้ามา บริษัทโอนเงินให้ได้เลย แถมน้ำท่วมหาดใหญ่ครั้งนี้ก็ทราบดีอยู่แล้วว่า ทรัพย์สินมีที่ตั้งจุดไหน และความเสียหายอยู่ตรงไหน ซึ่งบริษัทประกันก็เห็น ๆ อยู่แล้ว ไม่ต้องเสียเวลามานั่งพิจารณาการซ่อมว่าควรจ่ายสินไหมเท่าไหร่ เพราะส่วนใหญ่น้ำท่วมหาดใหญ่เที่ยวนี้เป็นความเสียหายทั้งหมด หรือ Total Loss ซึ่งในเรื่องราคารถยนต์มันลดลงอยู่แล้ว ก็สามารถทำการจ่ายได้ทันที ไม่ต้องมาพิจารณานานนัก
อดีตนายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย เสนอแนะว่า อยากให้ประเทศไทยเราได้เก็บและถอดบทเรียนจากน้ำท่วมหาดใหญ่ครั้งใหญ่เป็นบทเรียนกรณีศึกษา โดยเฉพาะพี่น้องประชาชนหรือเจ้าของร้านค้า โรงงานอุตสาหกรรมที่ทำประกันทรัพย์สินไว้ควรตระหนักและหาทางป้องกันอะไรได้ก็ควรทำ เพราะความเสี่ยงภัยเป็นสิ่งที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ก็จะส่งผลดีตามมาให้บริษัทรับประกันภัยต่อต่างประเทศไม่เพิ่มเบี้ยประกันบ้านเรา
ยกตัวอย่างเคสของโรงพยาบาลหนึ่งในหาดใหญ่ ท่านผู้อำนวยการโรงพยาบาลได้ออกมาย้ำแล้วว่า นับต่อนี้จะมีการเพิ่มความระมัดระวังจากเดิมเต็ม 100% ปีหน้าก็จะขยับเป็น 150% ซึ่งจุดนี้เห็นด้วยอย่างยิ่งและน่าชื่นชม ถ้าอะไรที่เป็นเครื่องจักรหรือเครื่องมือแพทย์ ที่ราคาสูง ๆ และแพง หากเคลื่อนย้ายจากชั้นใต้ดิน ไปอยู่ชั้น 2 หรือพื้นที่ที่น้ำท่วมสูงไม่ได้ ก็จะช่วยลดความสูญเสียได้เยอะ ซึ่งควรจะเคลื่อนย้ายก่อน ไม่ใช่มาเคลื่อนย้ายเมื่อทางการบอกกล่าวเตือน เพราะคงเคลื่อนย้ายไม่ทันแน่ ซึ่งนับเป็นตัวอย่างที่ดี
โดยเท่าที่ทราบและได้ยินได้ฟังล่าสุดในปีนี้บ้างแล้วว่า ปีนี้ได้ปรับขึ้นค่าเบี้ยประกันแผ่นดินไหว ไปบ้างแล้ว นี่ดันมาประสบเหตุน้ำท่วมใหญ่ของพื้นที่หาดใหญ่และอีกหลายจังหวัดภาคใต้อีก ก็เชื่อว่าคงจะมีแนวโน้มปรับเพิ่มเบี้ยในคราวต่ออายุสัญญาประกันภัยต่อกับบ้านเราเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
โดยต้องยอมรับว่า ในเรื่องค่าเบี้ยประกันภัยต่อแผ่นดินไหวหรือภัยธรรมชาติ เราไม่สามารถคาดการณ์หรือทำอะไรได้ นอกจากค่าเบี้ยประกันจะอิงตลาดโลกอยู่แล้ว โดยในปี 2555 ประกันภัยไทยเราเคยประสบกับปัญหาหาประกันต่อต่างประเทศไม่ได้ จนกระทั่งตอนนั้นต้องตั้งกองทุนฯขึ้นมามูลค่าวงเงิน 5 หมื่นล้านบาท และรัฐบาลต้องออกค่าลงทุนสร้างเขื่อนเพื่อมากั้นไม่ให้น้ำท่วมเข้าในนิคมอุตสาหกรรม จึงเรียกความเชื่อมั่นและเพิ่มขีดความสามารถในการรับประกันให้บรรดาบริษัทรีอินชัวเรอร์ต่างประเทศได้เห็น จนรอดวิกฤตมาได้
ทางด้านดร.นภัสนันท์ พรรณนิภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัททีคิวเอ็ม โบรกเกอร์ บริษัทนายหน้าประกันภัยรายใหญ่สุดของประเทศ กล่าวว่า น้ำท่วมหาดใหญ่ครั้งนี้ถือว่า มีมูลค่าความเสียหายหนักกว่าน้ำท่วมทุก ๆ ครั้งที่ผ่านมา โดยวอลุ่มลูกค้าในเบื้องต้นเท่าที่ตรวจสอบได้ถึง ณ วันที่ 1 ธ.ค. 2568 ปรากฏว่า บริษัทจะมีลูกค้าในหลายจังหวัดภาคใต้ที่ประสบภัยน้ำท่วมและซื้อประกันรถยนต์และประกันทรัพย์สินไว้กับบริษัท 17,000 ราย แยกเป็นประกันรถยนต์ 14,000 ราย โดยพื้นที่สงขลาและหาดใหญ่คิดเป็น 70-80% ของพอร์ตงาน ในเบื้องต้นบริษัทได้รับแจ้งเคลมเข้ามาแล้ว 1,000 กว่าราย ซึ่งตัวเลขเบื้องต้นรับแจ้งเข้ามายังถือว่าน้อยมาก โดยเข้าใจผู้เอาประกันที่ประสบภัยยังไม่แจ้งเคลมก็เพราะอาจวุ่นกับการล้างทำความสะอาด หรือไม่ก็คงทำความสะอาดและฆ่าเชื้อโรคสิ่งสกปรก ซึ่งคาดว่าคงต้องใช้เวลาหลายวันทีเดียว
“ขณะนี้ก็ได้มอบหมายให้น้อง ๆ ของบริษัททีคิวเอ็มทำหน้าที่ประสานงานกับลูกค้าไปแล้วระดับหนึ่ง ก็ต้องขอขอบคุณที่ทุกคนเข้าใจ ซึ่งส่วนใหญ่คนทางใต้หลายจังหวัดที่น้ำท่วม รวมถึงหาดใหญ่ใจดีจะไม่ว่าอะไรเรา บอกพี่ ๆ รอนิดนะ เขาก็เข้าใจ เพียงแต่เขาต้องการเพียงให้มีคนมารับแจ้งเคลม ทำให้เขารู้สึกไม่เคว้งคว้าง*เท่านั้นเองก็พอใจแล้ว เชื่อว่าตัวเลขความเสียหายคงจะเข้ามาชัดเจนอีกไม่กี่วันนี้ หลังพวกเขาทำความสะอาดกวาดล้างบ้านเรือนและทรัพย์สินเสร็จสรรพ
ขณะนี้ที่เราแก้ปัญหาให้ลูกค้าหลังประสานงานแจ้งเคลมให้บริษัทประกันรับทราบไปเบื้องต้น ก็จะมีปัญหาเรื่องอู่ที่จัดซ่อม* บางส่วนที่สามารถเคลื่อนย้ายไปซ่อมได้ เนื่องจากอู่ซ่อมรถขณะนี้ไม่ค่อยมี หายาก ทางทีคิวเอ็มฯ ก็มีการเคลื่อนย้ายไปหาอู่ซ่อมในพื้นที่จังหวัดใกล้เคียงเพื่อบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนไปก่อน ไม่งั้นคงลำบาก”
บทสรุปนับจากก้าวนี้ไป ก็คงต้องจับตาดูว่า จำนวนตัวเลขเคลมสินไหมน้ำท่วมหาดใหญ่ที่ถือเป็นมหาอุทกภัยครั้งใหญ่จะสร้างความเสียหายให้กับภาคธุรกิจประกันมากน้อยเพียงใด และคปภ.* และภาคธุรกิจประกันภัยทั้งสมาคมประกันชีวิตไทยและสมาคมประกันวินาศภัยไทย ถอดบทเรียนในการรับประกันและจ่ายสินไหมจากเหตุการณ์ครั้งนี้กันอย่างไร และในอนาคตข้างหน้า
ประกันภัย อุทกภัย เศรษฐกิจ การเงิน








