ภาวะสินค้าเกษตรไทยในช่วงสัปดาห์ 24–28 พฤศจิกายน 2568 สะท้อนภาพการเคลื่อนไหวแบบ "ทรงตัวบนแรงกดดัน" ที่กำลังเริ่มเห็นสัญญาณการ "ยกฐานราคา" ในหลายกลุ่มสินค้าหลัก แม้ว่าปัจจัยภายนอก อาทิ การแข็งค่าของเงินบาท และความผันผวนในตลาดล่วงหน้าโลก จะยังคงสร้างความท้าทาย แต่ภาคเกษตรไทยกำลังพยายามปรับตัวเพื่อบรรเทาภาวะ ขาดทุนสะสม จากต้นทุนการผลิตที่สูงลิ่ว
กลุ่มปัจจัยการผลิต ทรงตัวรอดูทิศทางโลก ราคาสินค้ากลุ่มวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่สำคัญยังคงเคลื่อนไหวในกรอบทรงตัวตามแรงสมดุลของตลาดโลก ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ราคาในประเทศยัง ทรงตัว ที่กิโลกรัมละ 9.80 บาท แม้ว่าตลาดล่วงหน้าที่นครชิคาโก (CBOT) จะปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.60% ซึ่งสะท้อนแรงเก็งกำไรในตลาดโลก แต่ปริมาณผลผลิตในประเทศและสต็อกที่เพียงพอได้เข้ามากดดันราคาในไทยไว้ ทำให้สัญญาณการปรับขึ้นหรือลงในระยะสั้นยังไม่มีความชัดเจน กากถั่วเหลืองนำเข้า ราคาในประเทศ ทรงตัว ที่กิโลกรัมละ 14.85 บาท ปัจจัยหนุนจากข่าวจีนกลับมาซื้อถั่วเหลืองสหรัฐฯ จำนวนมากถึง 2.4 ล้านตัน ยังไม่สามารถส่งผลให้ราคาในประเทศขยับได้ทันที เนื่องจากตลาดยังคงมีความกังวลต่อความต้องการรวมของจีนที่ไม่แน่นอน และการเร่งเพาะปลูกของบราซิลที่คาดว่าจะทำให้ปริมาณอุปทานโลกไม่ตึงตัวมากนัก ปลาป่น แม้ว่าราคาในประเทศจะ ทรงตัว ในทุกเกรด (เกรดกุ้ง 47 บาท/กก.) แต่เริ่มมีสัญญาณในเชิงบวกจากปริมาณการจับปลาที่ดีในเปรู (35% ของโควตา) และการที่จีนเริ่มขยับราคารับซื้อขึ้นเล็กน้อย ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงแนวโน้มที่ราคามีโอกาสขยับขึ้นในระยะถัดไป หากอุปสงค์จากจีนมีความต่อเนื่องและสต็อกโลกเริ่มลดลง
ขณะที่กลุ่มผลผลิตหลัก ข้าวเด่นสุด สุกร ไก่เนื้อพยุงราคา การเคลื่อนไหวของสินค้าเกษตรหลักในช่วงนี้เป็นการสะท้อนความพยายามในการรักษาเสถียรภาพราคา และการตอบสนองต่อกลไกตลาดต่างประเทศ ข้าว ถือเป็นสินค้าที่ ปรับตัวเด่นที่สุด ในสัปดาห์นี้ ทั้งตลาดในประเทศและตลาดส่งออก โดยราคาข้าวขาว 100% ชั้น 2 ในประเทศปรับเพิ่มเป็น 1,150 บาทต่อกระสอบ จาก 1,070 บาท และราคา FOB ส่งออก ปรับเพิ่มเป็นตันละ 404 ดอลลาร์สหรัฐ จาก 377 ดอลลาร์ การปรับขึ้นครั้งนี้เป็นผลโดยตรงจาก การแข็งค่าของเงินบาท ซึ่งบีบให้ผู้ส่งออกต้องปรับราคา FOB สูงขึ้นเพื่อรักษาส่วนต่างกำไร (Margin) อย่างไรก็ตาม แนวโน้มในระยะสั้นอาจเข้าสู่ช่วง ทรงตัว หากไม่มีคำสั่งซื้อใหม่จากตลาดหลัก หรือเงินบาทไม่แข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง
สุกร ยังอยู่ในช่วง พยายามฟื้นตัว จากภาวะขาดทุน โดยราคาสุกรหน้าฟาร์มปรับเพิ่มขึ้นอีก 2 บาทต่อกิโลกรัม อยู่ที่ระดับ 66–71 บาท การปรับขึ้นนี้เป็นเพียงการ "พยุงตลาด" เนื่องจากราคายังอยู่ต่ำกว่าต้นทุนการผลิตจริง ซึ่งอยู่ที่ 82.50–88.75% ของต้นทุน ทำให้ผู้เลี้ยงยังคงแบกรับภาวะขาดทุนตัวละประมาณ 900–1,400 บาท แนวโน้มราคายังคาดว่าจะ ทรงตัว รอการกลับเข้าสู่จุดคุ้มทุน ไก่เนื้อ ราคาเฉลี่ยหน้าฟาร์ม ปรับขึ้น เป็นกิโลกรัมละ 38 บาท จาก 37 บาท โดยได้รับแรงกระตุ้นบางส่วนจาก มาตรการกระตุ้นการบริโภคในประเทศ เช่น "คนละครึ่งพลัส" แม้จะมีการปรับขึ้นเล็กน้อย แต่แนวโน้มระยะถัดไปมีโอกาสกลับเข้าสู่ภาวะ ทรงตัว หากกำลังซื้อภายในประเทศเริ่มชะลอลง แต่ ไข่ไก่ ราคายังคง ทรงตัว ที่ฟองละ 3.40 บาท สะท้อนถึงภาวะสมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทานภายในประเทศที่ยังอยู่ในระดับปกติ
ภาพรวมภาวะสินค้าเกษตรไทย ณ ปลายปี 2568 ชี้ให้เห็นว่า ตลาดเริ่มมีการตอบสนองต่อกลไกต้นทุน และ ปัจจัยค่าเงิน มากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าที่ผู้ผลิตไม่สามารถแบกรับภาระขาดทุนได้อีกต่อไป ปัจจัยสำคัญที่ต้องจับตาเพื่อคาดการณ์ทิศทางราคาสินค้าเกษตรไทยในช่วงโค้งสุดท้ายของปี ได้แก่ 1) ทิศทางความผันผวนของค่าเงินบาท ที่มีผลต่อราคา FOB และต้นทุนนำเข้า 2) ความต่อเนื่องของดีมานด์จากจีน และตลาดส่งออกหลักในเอเชียและแอฟริกา และ 3) เสถียรภาพของต้นทุนอาหารสัตว์ในตลาดโลก ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดทิศทางราคาขายของผู้ผลิตในประเทศอย่างมีนัยสำคัญ








