จากกรณีน้ำท่วมหาดใหญ่ จ.สงขลา ในระดับมหาวิกฤต ที่ทำให้ประชาชนเดือดร้อนอย่างแสนสาหัส นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรือภัยธรรมชาติที่ควบคุมไม่ได้ทั้งหมด แต่ส่วนหนึ่งมันคือ "รอยรั่ว" ของระบบการจัดการ ที่ทำให้ความช่วยเหลือเดินทางไปไม่ถึงมือประชาชน ในเวลาที่พวกเขาต้องการที่สุด
1. กับดัก "ระเบียบราชการ"
คำถามที่หลายคนสงสัยคือ ความล่าช้าเกิดจากการบริหารของรัฐบาลใช่หรือไม่? โดยเฉพาะในแง่ของโครงสร้างและระบบสั่งการ
(1) ของมี...แต่ใช้ไม่ได้: ปัญหาคลาสสิกที่หน้างานต้องเจอคือ "งบฉุกเฉิน" และ "เครื่องจักร" มีพร้อม แต่ท้องถิ่น (เทศบาล/อบต.) ไม่กล้าขยับ เพราะกลัวถูกตรวจสอบภายหลัง ทุกอย่างต้องรอการประกาศพื้นที่ภัยพิบัติอย่างเป็นทางการ ทำให้ช่วงเวลา "24 ชั่วโมงแรก" ที่วิกฤตที่สุด ถูกแช่แข็งไว้ด้วยความกลัวระเบียบ
(2) วัฒนธรรม "รอนายสั่ง": การรวมศูนย์อำนาจทำให้คนหน้างานอย่าง นายอำเภอ หรือ นายกเทศมนตรี ขาดอำนาจการตัดสินใจเบ็ดเสร็จ ต้องรอคำสั่งจากส่วนกลาง เกิดเป็นช่องว่างของเวลาที่ความสูญเสียขยายวงกว้าง
(3) พิธีกรรมมาก่อนการกู้ภัย: เรื่องที่น่าเจ็บปวดคือ ทรัพยากรสำคัญอย่างเรือและกำลังคน มักถูกดึงไปเตรียมการ "ต้อนรับผู้ใหญ่" ที่ลงพื้นที่ตรวจราชการ แทนที่จะมุ่งหน้าไปหาชาวบ้านที่กำลังเดือดร้อน
2. ห้องบัญชาการ หรือ ห้องแห่งความสับสน ?
เรามีการตั้งศูนย์บัญชาการสถานการณ์ทุกครั้ง แต่ทำไมการช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมหาดใหญ่ ยังดูสะเปะสะปะ ?
(1) ต่างคนต่างถือข้อมูล : นี่คือปัญหาของระบบ กรมชลประทานดูน้ำในคลอง, อุตุฯ ดูปริมาณฝน, ปภ. ดูพื้นที่สีแดง ต่างฝ่ายต่างถือข้อมูลคนละชุด ไม่มีการนำมาซ้อนทับกันแบบ Real-time ส่งผลให้ศูนย์ฯ ทำได้เพียงแจ้งเตือนกว้างๆ ว่า "ให้ระวัง" ซึ่งไม่มีประโยชน์ต่อการตัดสินใจอพยพ
(2) การสื่อสาร : การแถลงข่าวเต็มไปด้วยศัพท์เทคนิค เช่น "ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที" หรือ "น้ำทะเลหนุนสูง" ซึ่งชาวบ้านฟังแล้วไม่เข้าใจ ทำให้เกิดการประเมินสถานการณ์ต่ำกว่าความเป็นจริง
(3) One Map ไม่มีจริง: พื้นที่รอยต่อระหว่างเทศบาลมักกลายเป็น "พื้นที่ตกสำรวจ" เพราะการเกี่ยงความรับผิดชอบ และความไม่รู้เส้นทางของทีมกู้ภัยนอกพื้นที่ ประกอบกับไม่มีระบบ GPS Tracking เชื่อมโยงพิกัดผู้ขอความช่วยเหลือ ทำให้การกู้ภัยยังใช้ระบบจดใส่กระดาษ ซึ่งเสี่ยงต่อการตกหล่น
3. ประเด็นแทรกซ้อน: จังหวะ "รอยต่อ" ของผู้นำ
นอกจากปัญหาเชิงระบบแล้ว ในกรณีนี้ช่วงก่อนเกิดเหตุมีการโยกย้าย “ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา” ไปรับตำแหน่งรองปลัดกระทรวงฯ และผู้ว่าฯ คนใหม่เพิ่งเดินทางมารับตำแหน่งได้เพียงไม่กี่วันก่อนเกิดสถานการณ์น้ำท่วม
จังหวะเวลาดังกล่าวส่งผลให้เกิดภาวะ "สุญญากาศช่วงสั้นๆ" เพราะแม่ทัพคนใหม่ยังไม่คุ้นเคยพื้นที่และเครือข่ายข้าราชการเท่าที่ควร ขณะที่ฝ่ายปฏิบัติการก็อาจชะลอการตัดสินใจเพื่อรอนโยบาย ทำให้ความเฉียบขาดและความต่อเนื่องในการบัญชาการเหตุการณ์ช่วงวิกฤตลดลง
4. บทสรุป: ถึงเวลาที่ต้องถอดบทเรียนอย่างจริงจัง
วิกฤตครั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่า โครงสร้างการจัดการภัยพิบัติของไทยยังเป็นแบบ "ตั้งรับ" ขาดการการกระจายอำนาจและการปลดล็อกระเบียบในยามวิกฤต ส่วนศูนย์บัญชาการก็มีปัญหาเรื่องการบูรณาการข้อมูล
ทางออกเร่งด่วนไม่ใช่การประชุมที่มากขึ้น แต่คือการใช้ระบบ Single Command ที่ให้อำนาจคนหน้างานตัดสินใจได้ทันที และดึงภาคประชาสังคมที่มีความคล่องตัวเข้ามาร่วมด้วย เพื่ออุดรอยรั่วที่ระบบราชการเอื้อมไปไม่ถึง
อย่าปล่อยให้ "น้ำลด" แล้ว "ตอผุด" เพียงเพื่อจะจมลงไปใหม่ในน้ำท่วมครั้งหน้า... การถอดบทเรียนอย่างจริงจัง จึงเป็นสิ่งที่ต้องเร่งกระทำ เพื่อไม่ให้ความผิดพลาดในด้านการบริหารจัดการนี้เกิดขึ้นซ้ำซากอีก
บทความโดย ศราวุธ เอี่ยมเซี่ยม
#น้ำท่วมหาดใหญ่ #วิกฤตน้ำท่วม #จัดการภัยพิบัติ #บทเรียนหาดใหญ่ #น้ำท่วม2568 #การเมืองท้องถิ่น #ระบบราชการไทย #SingleCommand #ถอดบทเรียน #สงขลา







