นี่คือเกมการเมืองที่เดิมพันด้วยอนาคตของประเทศ และการตัดสินใจเพียงครั้งเดียวจากผู้กุมอำนาจรัฐ อาจกำหนดทิศทางของสนามเลือกตั้งใหม่ทั้งหมด เมื่อนายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกูล แห่งพรรคภูมิใจไทย ประกาศกร้าวว่า "ถ้ามีการยื่นซักฟอก จะยุบสภาทันที" การยุบสภาในเดือนธันวาคม 2568 จึงไม่ใช่เพียงแค่ความเป็นไปได้ แต่เป็นเงื่อนไขสำคัญ ที่ทุกพรรคต้องเตรียมพร้อมรับมือ
ลองมาดูกันว่า ภายใต้ฉากทัศน์ที่การเลือกตั้งถูกเร่งรัดให้มาถึงเร็วกว่ากำหนด แต่ละพรรคกำลังเผชิญกับสถานการณ์ใด และมีใครบ้างที่กำลัง “อยู่ในช่วงขาขึ้น” หรือกำลัง “กลืนไม่เข้าคายไม่ออก” ?
1. พรรคภูมิใจไทย: ขี่กระแสพร้อมรบ หรือแค่ "หนี" การตรวจสอบ ?
นาทีนี้คงไม่มีใครเนื้อหอมเท่าพรรคแกนนำรัฐบาลอย่าง “ภูมิใจไทย” ล่าสุด “วราวุธ ศิลปอาชา” แห่งพรรคชาติไทยพัฒนา และกลุ่มตระกูลคุณปลื้มจากชลบุรี ก็ตบเท้าเข้าร่วมชายคาในช่วงสถานการณ์ทางการเมืองกำลังร้อนระอุ แสดงให้เห็นว่า พรรคนี้กำลังมีแต้มต่อด้านกระแสและฐานเสียงในพื้นที่อย่างมหาศาล
ขณะที่การเป็นรัฐบาล แม้จะถูกตั้งคำถามเรื่องการจัดการ "ทุนเทา" และ "สแกมเมอร์" ที่ดูเหมือนล่าช้า แต่ก็มีผลงานที่โดนใจประชาชนอย่าง "คนละครึ่งพลัส" การประกาศแคนดิเดตนายกฯ 3 คน ที่มีทั้งผู้นำพรรค นักเศรษฐศาสตร์ และผู้บริหารหญิงมืออาชีพ ก็ช่วยเสริมภาพลักษณ์ให้ดูน่าเชื่อถือและทันสมัย
คำถามที่ต้องขบคิด: ถือได้ว่า “ภูมิใจไทย” เป็นพรรคที่ได้เปรียบที่สุด หากมีการยุบสภาในเดือนธันวาคม แต่ภาพลักษณ์ของการไม่ยอมให้ตรวจสอบ จะเป็นราคาที่ต้องจ่ายในสนามเลือกตั้งครั้งใหม่หรือไม่ ?
2. พรรคประชาชน: เดิมพันครั้งใหญ่... ได้หรือเสียทุกอย่าง ?
“พรรคประชาชน” เดินเกมที่เสี่ยงที่สุดในประวัติศาสตร์ ด้วยการยอมโหวตหนุน “อนุทิน” เป็นนายกฯ โดยมีเงื่อนไขสำคัญคือ ยุบสภาภายใน 4 เดือน และเดินหน้าแก้รัฐธรรมนูญ ซึ่งการกระทำนี้แลกมาด้วยการสูญเสียคะแนนนิยมจากด้อมส้มส่วนหนึ่งที่รับไม่ได้
หากมีการยุบสภาในเดือนธันวาคม นั่นหมายความว่า ข้อตกลง (MOA) ทั้งหมดจะพังทลายลงทันที กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญและประชามติที่พรรคประชาชนยอมโหวตให้ “อนุทิน” เป็นนายกฯ เพื่อจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย ก็จะจบสิ้นลง นี่คือการเดิมพันที่ทำให้พรรคประชาชนแทบไม่ได้อะไรเลย จากการกระทำดังกล่าว แถมยังเสียคะแนนนิยมไปเปล่า ๆ
นอกจากนี้ พรรคยังลุ้นกับกรณี 44 สส. ยื่นเสนอแก้ ม.112 หาก ป.ป.ช. มีมติเอาผิดและส่งฟ้องศาลรัฐธรรมนูญในเดือนธันวาคม ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้น 25 สส. พรรคประชาชนที่ยังทำหน้าที่อยู่ในสภา จะต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งจะส่งผลกระทบกับพรรคอย่างรุนแรงในการเลือกตั้งครั้งใหม่
คำถามที่ต้องขบคิด: พรรคประชาชนจะเลือกเดินอย่างไรในเดือนธันวาคม จะยอมให้ถูกแซะว่าเป็น "ฝ่ายค้ำ" และปล่อยให้กระบวนการแก้รัฐธรรมนูญดำเนินต่อไป หรือจะยอม "หัก" ยื่นซักฟอกรัฐบาล เพื่อแลกกับการกู้ภาพลักษณ์ (ไม่ได้เป็นฝ่ายค้ำ) แต่สมมติว่า ถ้าการยุบสภาเกิดขึ้นเร็ว พรรคประชาชนจะเผชิญกับการสูญเสียทุกอย่าง ที่ลงทุนไปหรือไม่ ?
3. พรรคเพื่อไทย: จุดต่ำสุดที่ต้องหาทาง "เอาคืน"
นับตั้งแต่การพลิกขั้วทางการเมือง การสูญเสียตำแหน่งนายกฯ การกลับเข้าคุกของ ทักษิณ ชินวัตร และความไม่ชัดเจนในทิศทางของพรรค ทำให้ “พรรคเพื่อไทย” เข้าสู่ช่วงที่เรียกได้ว่า "ตกต่ำที่สุด" สส. หลายคนทยอยไหลออก คะแนนนิยมถดถอย และยังไม่มีการประกาศแคนดิเดตนายกฯ ที่เรียกเรตติ้งได้อย่างชัดเจน
พรรคเพื่อไทยมีแรงแค้นต่อพรรคภูมิใจไทย และอยากใช้เวทีอภิปรายไม่ไว้วางใจเพื่อโจมตีรัฐบาล ดูจะเป็นยุทธศาสตร์ที่ตอบโจทย์ความต้องการ "เอาคืน" ได้ดีที่สุด แต่คำขู่ของนายกฯ อนุทิน คือดาบสองคมที่ทำให้พรรคเพื่อไทยต้องชั่งน้ำหนัก
คำถามที่ต้องขบคิด: การยุบสภาเร็วตามคำขู่ของนายกฯ ไม่ได้เป็นผลดีต่อพรรคเพื่อไทยเลย ในสถานการณ์ที่กำลังขาดความพร้อมอย่างยิ่ง พรรคเพื่อไทยจะยอมให้ "แรงแค้น" ขับเคลื่อนการตัดสินใจจนนำไปสู่การยุบสภาที่ทำให้ตนเองต้องลงสนามในภาวะที่ย่ำแย่ที่สุดหรือไม่ ? หรือจะยอมกลืนเลือด และรอให้เวลาผ่านไปอีกหน่อยเพื่อจัดทัพใหม่ก่อนการยุบสภาตามกำหนดเดิม ?
การเร่งให้มีการเลือกตั้งในเดือนธันวาคม อาจทำให้พรรคเพื่อไทยต้องยอมรับว่า ตนเองอาจกลายเป็นอันดับ 3 ในสนามเลือกตั้งครั้งใหม่ โดยแทบไม่มีโอกาสเตรียมความพร้อม หรืออย่างน้อยๆ พอให้คะแนนนิยมกระเตื้องขึ้นมาบ้าง
นี่คือสามฉากทัศน์ที่ทับซ้อนกันอยู่บนไทม์ไลน์ที่บีบคั้น ทุกการตัดสินใจในเดือนธันวาคม 2568 จะเป็นตัวกำหนดว่า "ใคร" จะได้เข้าสู่สนามเลือกตั้งด้วยความได้เปรียบสูงสุด และ "ใคร" จะต้องเผชิญหน้ากับความล้มเหลวจากเกมการเมืองที่ห่ำหั่นกันอย่างสุดฤทธิ์นี้
บทความโดย ศราวุธ เอี่ยมเซี่ยม
#ยุบสภา #เลือกตั้ง2569 #อนุทิน #ภูมิใจไทย #พรรคประชาชน #เพื่อไทย #การเมืองไทย #วิเคราะห์การเมือง #ข่าวการเมือง #เกมอำนาจ







