บทความ บทวิเคราะห์

ลุ้น!คปภ.งัดแรงจูงใจ หนุน”ประกัน ESG”

แชร์ข่าว

บอย อินชัวร์

การประกันภัยที่ยั่งยืน (Sustainable Insurance) กล่าวได้ว่า เป็นประเด็นที่พูดกันมากเป็นเวลานานแล้วทีเดียว สำหรับธุรกิจประกันในบ้านเรา มาถึงวันนี้นับได้ว่ามีความรุดคืบหน้าไปมาก โดยหลายบริษัทประกันทั้งสัญชาติไทยและเทศต่างได้ให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนองค์กรและกิจกรรมกันทั่วหน้าทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นการขับเคลื่อนไปในกรณีบริษัทประกันจะพิจารณาความเสี่ยงและโอกาสที่เกี่ยวข้องกับ ESG เพื่อสร้างผลกำไรทางธุรกิจและสนับสนุนความยั่งยืนทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม หรือแม้แต่การลงทุนสนับสนุนการลงทุนในธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น พลังงานสะอาด หรือว่า ออกมาในรูปของการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เข้าถึงง่าย เช่น ประกันภัยสำหรับเกษตรกร หรือประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้า (EV) รวมไปถึงการบริหารความเสี่ยงใช้เครื่องมือ อย่างเช่น การวิเคราะห์ข้อมูลวางแผนรับมืออุบัติภัยธรรมชาติที่รุนแรงขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศที่เปลี่ยนไป

ในแง่ของภาคธุรกิจประกันชีวิตดูจะมีความโดดเด่นล้ำหน้าในเรื่องนี้ไปมากกว่าธุรกิจประกันวินาศภัยค่อนข้างมากกว่า อย่างเช่นบมจ.เมืองไทยประกันชีวิตได้มีกิจกรรมและนโยบายลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การทำธุรกิจตามแนวทาง ESG (สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล) รวมไปถึงการลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร ผ่านการดำเนินงานภายในและการลงทุน โดยบริษัทมีโครงการแลกของพรีเมียมเพื่อลดการใช้ทรัพยากรและพลังงาน และยังได้ร่วมมือกับพันธมิตรเพื่อสนับสนุนการสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อม อีกทั้งบริษัทยังบริหารจัดการผลกระทบจากการลงทุนในอุตสาหกรรมต่างๆ โดยการดำเนินงานตามแนวทาง ESG ที่มุ่งมั่นจะผนวกการพัฒนาที่ยั่งยืนเข้ากับการดำเนินธุรกิจในทุกส่วน หรือแม้แต่โครงการแลกของพรีเมียมที่สมาชิกเมืองไทยสไมล์คลับสามารถแลกของพรีเมียมที่ช่วยลดการใช้ทรัพยากร เช่น การใช้น้ำและพลังงาน ลดการปล่อย CO₂ โดยร่วมมือกับพันธมิตรเพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม

หรือแม้ต่ายประกันอื่นๆอย่างเช่นบมจ.กรุงเทพประกันภัยก็เพิ่งได้รับประกาศนียบัตรเครื่องหมาย “คาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร” (Carbon Footprint for Organization หรือ CFO) ในพิธีมอบประกาศนียบัตรเครื่องหมายรับรองฉลากคาร์บอน ซึ่งจัดโดยองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน)ไปหมาดๆเมื่อปลายเดือนมิถุนายน 2568 โดยกรุงเทพประกันภัยให้ความสำคัญกับการดำเนินกิจกรรมภายในองค์กรโดยคำนึงถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะด้านการจัดการและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก พร้อมขับเคลื่อนสู่เป้าหมายการเป็นองค์กรที่สนับสนุนสังคมคาร์บอนต่ำ เพื่อร่วมรับมือกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างยั่งยืน

ขณะที่บมจ.ไทยประกันชีวิต คว้าถึง 2 รางวัลมาตรฐานที่ส่งมอบคุณค่าให้กับผู้มีส่วนได้เสีย โดย TLI ได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO 14064-1:2018 จากบริษัท บูโร เวอริทัส เซอทิฟิเคชั่น (ประเทศไทย) จำกัด และมาตรฐานคาร์บอนฟุตพรินต์ขององค์กร (Carbon Footprint for Organization : CFO) จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจกฯประจำปี 2567 โดยเป็นมาตรฐานสำหรับการวัดปริมาณ รายงาน และการตรวจสอบการปล่อยและการกักเก็บก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gas: GHG) ระดับองค์กร ซึ่งได้รับยอมรับทั้งในประเทศและสากล ซึ่งการได้รับรองทั้งสอง ถือเป็นหนึ่งหมุดหมายสำคัญที่สะท้อนความมุ่งมั่นของไทยประกันชีวิต ในการใส่ใจดูแลสิ่งแวดล้อมและการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ สนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ส่งต่ออนาคตที่ดีสำหรับคนรุ่นต่อไป ควบคู่การขับเคลื่อนองค์กรด้วยการนำนวัตกรรมเทคโนโลยีดิจิทัลเสริมศักยภาพการดำเนินธุรกิจ (Digital Transformation) รองรับเปลี่ยนแปลงของโลกในยุคปัจจุบัน

โดยนายเคียน ฮิน ลิม ผู้จัดการใหญ่ กล่าวว่า การได้รับรองมาตรฐานครั้งนี้ นับเป็นหนึ่งก้าวสำคัญที่ตอกย้ำวิสัยทัศน์ของบริษัทในการส่งมอบคุณค่าให้ผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วน ด้วยการดูแลใส่ใจสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตคนในสังคม โดยมุ่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และขับเคลื่อนองค์กรสู่ Carbon Neutrality ในปี พ.ศ.2593 หรือ ค.ศ.2050 ซึ่งเป็นพันธกิจที่บริษัทฯ กำหนดไว้ และสอดคล้องกับเป้าหมายประเทศไทยในการมุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ซึ่งบริษัทได้ดำเนินตามกรอบกลยุทธ์ความยั่งยืน “TLI Sustainability Strategy” ในมิติสิ่งแวดล้อม พร้อมส่งต่อโลกที่ดีกว่า ด้วยการใส่ใจดูแลสิ่งแวดล้อมและการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต และสร้างประโยชน์ต่อสังคม สิ่งแวดล้อม และผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่มอย่างยั่งยืน

ทั้งนี้บริษัทได้ดำเนินโครงการและมาตรการต่าง ๆ ช่วยลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างต่อเนื่องมาตลอด อันส่งผลให้อาคารไทยประกันชีวิตสำนักงานใหญ่ ได้รับรองมาตรฐานอาคารสีเขียว LEED ระดับ Gold จาก U.S. Green Building Council และ Green Business Certification Institute อาทิ การติดตั้งระบบพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาอาคารในสาขาหลัก, การเปลี่ยนหลอดไฟประหยัดพลังงาน หรือ LED, การปรับเปลี่ยนเครื่องปรับอากาศที่มีศักยภาพเพื่อลดโลกร้อน การมีระบบบำบัดน้ำเสียที่นำน้ำกลับมาใช้ใหม่ในสาขาที่มีระบบรองรับ และการพัฒนา TLI Application มอบบริการในรูปแบบ e-Service ที่หลากหลาย อาทิ กรมธรรม์อิเล็กทรอนิกส์ (e-Policy) ใบเสร็จอิเล็กทรอนิกส์ (e-Receipt) เป็นต้น เพื่อช่วยลดการใช้กระดาษ และทรัพยากรที่สิ้นเปลืองลงได้ นอกจากนี้ยังดำเนินโครงการ “Upcycling ทิ้งได้บุญ” หนึ่งของโครงการ Care the Whale “ขยะล่องหน” ที่ร่วมกับตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งโครงการ Upcycling ทิ้งได้บุญ มุ่งส่งเสริมการแยกขยะและรีไซเคิลขวดพลาสติกอย่างถูกวิธี และนำไปผลิตเป็นผ้าห่มรักษ์โลกมอบให้ผู้ประสบภัยหนาว โดยตลอดระยะเวลาที่เข้าร่วมโครงการ Care the Whale “ขยะล่องหน” ตั้งแต่ปี 2563 จนถึงปัจจุบัน สามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงได้ถึง 7.18 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ เทียบเท่าการปลูกต้นไม้ใหญ่อายุ 10 ปี ถึง 799 ต้น

และในอนาคต บริษัทฯ พร้อมเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียน และการลงทุนด้าน Digital Transformation เพื่อยกระดับประสิทธิภาพการดำเนินงาน ลดการใช้ทรัพยากร และเพิ่มขีดความสามารถในการบริหารจัดการภายในอย่างยั่งยืน เพื่อเดินหน้าสร้างสมดุลระหว่างการเติบโตทางธุรกิจกับการดูแลโลก รวมถึงสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง

และล่าสุดกลุ่มบริษัทพรูเด็นเชียล และ พรูเด็นเชียล ประเทศไทยนอกเหนือจากการให้ความสำคัญลงทุนในบอนด์หรือธุรกิจที่ลงทุนในพลังงานสะอาดหรือสีเขียวแล้ว ยังได้รุกจัดกิจกรรมปลุกนโยบายประกันยั่งยืน ESG ในหลายรูปแบบต่างๆทั้งส่งเสริมสนับสนุนการให้ความคุ้มครองเจ้าหน้าที่หรือพนง.เก็บกวาดขยะสังกัดกทม. รวมไปถึงเจ้าหน้าที่พนักงานสถานพยาบาลชั้นนำที่จะมีขึ้นในเร็วๆวันนี้แล้ว ก็ยังได้ตอกย้ำนโยบายในการขับเคลื่อนโดยผ่านการร่วมการประชุม Asian Actuarial Conference 2025 (AAC 2025) โดย นายนิติพงษ์ ปรัชญานิมิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานลูกค้าและการตลาด พรูเด็นเชียล ประเทศไทย ในฐานะ นายกสมาคมนักคณิตศาสตร์ประกันภัยแห่งประเทศไทย (SOAT) ได้กล่าวเปิดงาน Asian Actuarial Conference (AAC) 2025 ซึ่งจัดขึ้น ณ ไอคอนสยาม ฮอลล์ กรุงเทพมหานคร โดยมีผู้เข้าร่วมจากทั่วเอเชียและนานาประเทศ ภายใต้ธีม “Generative Actuarial Intelligence: Insights, Innovation, and Sustainable Value for Tomorrow”

ในโอกาสนี้ นายบัณฑิต เจียมอนุกูลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พรูเด็นเชียล ประเทศไทย ก็ได้ร่วมเสวนาในหัวข้อ “การเติบโต ความเสี่ยง และผลตอบแทน: การกำหนดเส้นทางสำหรับธุรกิจประกันภัยในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” พร้อมนำเสนอวิสัยทัศน์เชิงกลยุทธ์ในการสร้างสมดุลระหว่างโอกาสการเติบโตและการบริหารความเสี่ยงเพื่อผลตอบแทนที่ยั่งยืน นอกจากนี้ นายซานจิต ไมนี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานผลิตภัณฑ์ กลุ่มบริษัทพรูเด็นเชียล และ นางสาวนิโคล เหงียว ผู้อำนวยการ พรูเดนซ์ ฟาวน์เดชัน ร่วมเสวนาในหัวข้อ “ประกันชีวิตยั่งยืนเพื่อการเติบโตที่ครอบคลุม”

ทั้งนี้ยังได้ย้ำถึงความสำคัญของการลดช่องว่างด้านความคุ้มครองและบทบาทของนักคณิตศาสตร์ประกันภัยในการสร้างโซลูชันที่ตอบโจทย์ลูกค้า รวมทั้ง นายอิฎฐ์ อภิรักษ์ติวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานพัฒนาองค์กร ร่วมอภิปรายในหัวข้อ “ปัญญาประดิษฐ์และอนาคตของธุรกิจประกันภัย: การสร้างสมดุลระหว่างนวัตกรรม กฎระเบียบ และความรับผิดชอบ” โดยเน้นบทบาทของเทคโนโลยี AI ในการยกระดับประสบการณ์ลูกค้าและรักษามาตรฐานความน่าเชื่อถือ

ต่อมุมมองเรื่องนี้ นายพิเชฐ เจียรมณีทวีสิน หรือทอมมี่ แอคชัวรี นักคณิตศาสตร์ประกันภัยคุณวุฒิระดับเฟลโล่ ผู้บริหารบริษัท แอคชัวเรียล บิสซิเนส โซลูชั่น จำกัด และอดีตนายกสมาคมนักคณิตศาสตร์ประกันภัยแห่งประเทศไทย ได้ให้มุมมองส่วนตัวระบุว่า ตลาดคาร์บอนเครดิตในบ้านเรายังถือว่าเติบโตไม่มาก ซึ่งยังสู้ประเทศเวียดนามยังไม่ได้ ซึ่งมีการการเติบโตขึ้นมากกว่าประเทศไทย ดังนั้นการประกันตลาดคอร์บอนเครดิตในบ้านเรา คงต้องใช้ระยะเวลาอีกสักระยะหนึ่งให้ธุรกิจคาร์บอนเครดิตบ้านเราบูมและแจ้งเกิดเสียก่อน ประกันตาร์บอนเครดิตจึงจะเกิดตามมาได้สำเร็จ

ในส่วนของส่งเสริมให้การประกัน ESG เติบโตสำหรับธุรกิจประกันภัยแล้ว สำหรับธุรกิจประกันชีวิตถือว่ามีความโดดเด่นและมีบทบาทเป็นอย่างมาก ในการเข้าไปลงทุนในบอนด์หรือธุรกิจสีเขียว ซึ่งทุกวันนี้ภาครัฐก็มีการสนับสนุนให้นักลงทุนในบอนด์ที่เน้นลงทุนในธุรกิจสีเขียวอยู่ส่วนหนึ่งแล้ว หากสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย(คปภ.)จะมีส่วนสนับสนุนนโยบายประกัน ESG ให้เติบโตมากขึ้นไปกว่านี้ ก็อาจจะผลักดันมาตรการในการสร้างแรงจูงใจให้บริษัทประกันเข้าไปลงทุนเรื่องนี้มากขึ้น อย่างเช่น การตีประเมินค่าริคชารท์ความเสี่ยงในการลงทุนในบอนด์ประเภทนี้ต่ำ หรือส่งเสริมบริษัทรายใดที่ไปลงทุนบอนด์ประเภทนี้มากขึ้น ก็อาจจะส่งผลให้ตัวเลขของเงินกองทุน RBC ขยับสูงขึ้น อย่างนี้เป็นต้น เพื่อสร้างแรงจูงจะช่วยได้มากทีเดียว

เพราะฉะนั้น บทสรุปในท้ายนี้ คงต้องจับตาดูกันว่า นโยบายส่งเสริมและสร้างจูงใจจุดนี้จะมีในใจคปภ.ไว้อยู่แล้วกันหรือเปล่าหนอ!! และในปีหน้าฟ้าใหม่ปี 2026 คงต้องติดตามกันดูอย่ากระพริบว่า บรรดาค่ายประกันชีวิตและค่ายประกันวินาศภัยทั้งใหญ่ กลาง และขนาดเล็กจะมีค่ายไหนช่วงชิงพื้นที่เข้ามาเป็นเจ้าพ่อประกัน ESG สร้างแรงกระเพื่อมให้วงการกันบ้าง

ข่าวแนะนำ