บทความ บทวิเคราะห์

วิกฤตราคาข้าวเปลือกนาปี: บริหารจัดการอุปทานด้วยกลไกสหกรณ์ สร้างเสถียรภาพตลาด

แชร์ข่าว

สถานการณ์ราคา ข้าวเปลือกนาปี สำหรับปีการผลิต 2568/2569 ได้เข้าสู่ภาวะที่ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดตั้งแต่ช่วงต้นฤดูเก็บเกี่ยว เนื่องจากตลาดโลกกำลังเผชิญกับแรงกดดันของ อุปทานข้าว ที่สูงขึ้น ประกอบกับผลผลิตในประเทศปริมาณมากถึงกว่า 27 ล้านตัน ได้ออกสู่ตลาดพร้อมกันในช่วงเวลาเดียวกัน ส่งผลให้ราคาข้าวเปลือกเจ้าและข้าวเปลือกเจ้าหอมมะลิที่เกษตรกรขายได้มีแนวโน้มปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ข้าวขาวไทย ที่ต้องเผชิญความท้าทายในการแข่งขันด้านราคากับประเทศคู่แข่งสำคัญอย่างอินเดียและเวียดนาม ซึ่งมีต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่าอย่างมีนัยสำคัญ ความท้าทายนี้ทำให้รัฐบาลต้องเร่งออกมาตรการสำคัญเพื่อรักษาเสถียรภาพราคาและบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรอย่างเร่งด่วน

มาตรการหลักที่รัฐบาลนำมาใช้คือ โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อจูงใจให้เกษตรกรเก็บข้าวไว้ในยุ้งฉาง โดยได้รับค่าฝากเก็บที่ 1,500 บาทต่อตัน อย่างไรก็ตาม เพื่อให้โครงการนี้สอดคล้องกับกลไกตลาดปัจจุบันและสามารถบริหารจัดการได้จริง คณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) ได้มีการปรับลดวงเงินสินเชื่อต่อตันลงอย่างมีนัยสำคัญ ตัวอย่างเช่น ข้าวเปลือกเจ้า ถูกปรับลดจาก 8,000 บาทเหลือ 5,800 บาทต่อตัน การปรับลดวงเงินสินเชื่อดังกล่าวสะท้อนถึงการยอมรับว่าราคาตลาดปัจจุบันได้ปรับตัวลงไปมาก และการอัดฉีดสินเชื่อต้องเป็นไปในทิศทางที่ไม่บิดเบือนกลไกตลาดจนเกินไป นอกเหนือจากมาตรการสินเชื่อเพื่อชะลอการขายแล้ว รัฐบาลยังได้อนุมัติ เงินช่วยเหลือเกษตรกรไร่ละ 1,000 บาท สูงสุดไม่เกิน 10 ไร่ต่อครัวเรือน เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายในการเพาะปลูก ซึ่งได้เริ่มมีการโอนเงินผ่าน ธ.ก.ส. แล้วตั้งแต่เดือนกันยายน 2568 เพื่อเสริมสภาพคล่องเบื้องต้นให้กับเกษตรกร

ในสถานการณ์ที่ปริมาณข้าวที่รอการระบายในระบบยังคงสูงและความผันผวนของราคาตลาดโลกยังเป็นปัจจัยที่ควบคุมได้ยาก กรมส่งเสริมสหกรณ์ ได้เข้ามารับบทบาทสำคัญในการเป็นกลไกเชิงรุกเพื่อพยุงราคา โดยใช้ กลไกของสหกรณ์การเกษตร เป็นเครื่องมือหลักในการจัดการอุปทานและแทรกแซงราคาตลาดโดยตรง กรมฯ ได้อัดงบประมาณรวมกว่า 40,000 ล้านบาท ผ่านสองมาตรการใหญ่เพื่อสร้าง "กลไกกันชน" ให้แก่ราคาข้าว โดยเฉพาะข้าวหอมมะลิที่ออกสู่ตลาดจำนวนมาก ซึ่งตั้งเป้าหมายการรวบรวมผลผลิตข้าวเปลือกทั้งหมด 4 ล้านตัน ผ่านสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร 428 แห่ง ใน 57 จังหวัด

มาตรการแรกคือ โครงการชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ซึ่งจัดสรรสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำจาก ธ.ก.ส. ไว้ที่ 12,000 ล้านบาท เพื่อให้สหกรณ์ทำหน้าที่เปลี่ยนสถานะข้าวเปลือกจาก "ขาย" เป็น "ฝาก" ไว้ที่ยุ้งฉางหรือโกดังของสหกรณ์ ทำให้ข้าวจำนวนมากถูก "ดูดซับ" ออกจากตลาดในช่วงที่ผลผลิตออกพร้อมกัน ซึ่งครอบคลุมทั้งข้าวหอมมะลิ ข้าวเปลือกเจ้า ข้าวเปลือกปทุม และข้าวเหนียว โดยเกษตรกรจะได้รับค่าเก็บรักษาที่ 1,500 บาทต่อหน่วย ซึ่งเป็นการเพิ่มสภาพคล่องทางการเงินให้เกษตรกรได้รับเงินสดส่วนแรกทันที 500 บาท และรอจังหวะที่ราคาตลาดสูงขึ้นเพื่อขายข้าวที่เหลือ

ขณะที่มาตรการที่สองคือ โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร โดยทุ่มงบสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำจาก ธ.ก.ส. ถึง 28,000 ล้านบาท เพื่อให้สหกรณ์ใช้ในการ รวบรวมผลผลิตและนำไปแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่า ก่อนจำหน่ายสู่ตลาดภายนอก โดยข้อมูล ณ วันที่ 10 พ.ย. 68 ชี้ให้เห็นว่า สหกรณ์ที่เข้าร่วมโครงการ 211 แห่ง ได้รวบรวมข้าวไปแล้วกว่า 367,000 ตัน คิดเป็นมูลค่าประมาณ 3,200 ล้านบาท ซึ่งแสดงถึงประสิทธิภาพของกลไกสหกรณ์ในการลดปัญหาอุปทานล้นตลาดและการกดราคาในช่วงต้นฤดูเก็บเกี่ยวอย่างชัดเจน ยิ่งไปกว่านั้น กรมฯ ยังได้เสริมสภาพคล่องเบื้องต้นด้วยเงินกองทุนพัฒนาสหกรณ์ (กพส.) ดอกเบี้ยเพียงร้อยละ 1 อีก 315 ล้านบาท เพื่อให้สหกรณ์ใช้ซื้อข้าวในช่วงที่รอรับสินเชื่อจาก ธ.ก.ส.

นอกจากนี้ บทบาทของสหกรณ์ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่การจัดการอุปทาน แต่ยังใช้กลยุทธ์เข้า "แทรกแซงราคา" ตลาดโดยตรงผ่านการเปิดจุดรับซื้อรวม 312 จุด และรับซื้อใน ราคานำตลาด เพื่อสร้างการแข่งขันกับโรงสีและพ่อค้าคนกลางอย่างชัดเจน ตัวอย่างความสำเร็จที่สหกรณ์การเกษตรเกษตรวิสัย จังหวัดร้อยเอ็ด ที่สามารถรับซื้อข้าวสดที่มีความชื้นสูงได้ในราคา 13,800 บาทต่อตัน ซึ่งเป็นราคาที่นำตลาดและช่วยยกระดับราคาพื้นฐานของข้าวหอมมะลิได้อย่างมีนัยสำคัญ ทำให้บทบาทของสหกรณ์เป็นเสมือน "กำแพงกั้นน้ำ" ที่ช่วยแก้ปัญหาอุปทานล้นตลาดและการกดราคาในช่วงที่ข้าวออกพร้อมกัน

แม้ว่ามาตรการเหล่านี้จะช่วยประคองสถานการณ์ไว้ได้ระดับหนึ่ง แต่ความสำเร็จในการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืนในระยะยาว ยังคงขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการอุปทานอย่างมีประสิทธิภาพ การเร่งรัดการส่งออก และการผลักดันให้เกษตรกรเข้าถึงมาตรการชะลอการขายอย่างเต็มที่ เพื่อป้องกันไม่ให้ราคาข้าวเปลือกโดยรวมดิ่งลงไปมากกว่านี้ก่อนที่ผลผลิตชุดใหญ่จะออกสู่ตลาดจนหมด ทั้งนี้ ระบบสหกรณ์ได้ขยายบทบาทไปสู่การจัดการปัญหาเร่งด่วนและการเพิ่มมูลค่า ด้วยการจัดตั้งโรงอบเพื่อรองรับข้าวที่มีความชื้นสูง รวมถึงการเปิดลานตากฟรีและบริการรถเกี่ยว-รถขนส่ง เพื่ออำนวยความสะดวกในการนำผลผลิตมาจำหน่าย

ในระยะยาว กรมฯ ยังได้ส่งเสริมให้สหกรณ์ที่มีโรงสีดำเนินการ สีข้าวเปลือกเป็นข้าวสาร ภายใต้ตราสินค้าของตนเองเพื่อเพิ่มมูลค่า และเน้นการส่งเสริม ข้าวอัตลักษณ์พื้นถิ่น เช่น ข้าวหอมขาวเจ๊ก และข้าวปะกาอำปึล พร้อมสนับสนุนการพัฒนาบรรจุภัณฑ์และการจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์ เพื่อให้สหกรณ์เป็นช่องทางจำหน่ายข้าวคุณภาพของสมาชิกสู่ผู้บริโภคโดยตรง การดำเนินการแบบครบวงจรนี้ไม่เพียงแต่ช่วยพยุงราคาเฉพาะหน้า แต่ยังมุ่งสร้างความยั่งยืนในอาชีพทำนาด้วยการ ลดขั้นตอนในห่วงโซ่การตลาด ทำให้เกษตรกรได้รับราคาที่เป็นธรรมและมั่นคงมากยิ่งขึ้นในอนาคต

ข่าวแนะนำ