บทความ บทวิเคราะห์

ทักษิณ “จนมุม” !! ปิดฉากถาวร “ระบอบชินวัตร”?!?

แชร์ข่าว

ไม่มีช่วงเวลาใดในประวัติศาสตร์การเมืองไทยตลอดสองทศวรรษที่ชื่อของ “ทักษิณ ชินวัตร” จะถูกบีบด้วยแรงกดดันจากทุกทิศทางหนักเท่าปี 2568 นี้อีกแล้ว ไม่ว่าจะเป็นคดีภาษีชินคอร์ปที่ศาลฎีกาตัดสินให้เดินหน้าบังคับคดีมูลค่าเกินกว่าที่ใครเคยคาดคิด คดี ม.112 ที่อัยการสั่งยื่นอุทธรณ์สวนมติกรรมการภายใน ไปจนถึงการยกเครื่องกฎเกณฑ์พักโทษและคุมขังนอกเรือนจำที่เข้มข้นแบบไม่ไว้หน้าใคร 

หลายฝ่ายเริ่มตั้งคำถามว่า นี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของ “ฉากสุดท้าย” ของระบอบชินวัตร ผู้เคยกุมเกมการเมืองไทยยาวนานกว่า 20 ปีหรือไม่ และบางทีคำตอบอาจปรากฏชัดเจนกว่าที่คิด นั่นคือ “ใช่ ...นี่คือจุดจบที่เริ่มเป็นรูปธรรมอย่างไม่อาจปฏิเสธได้” 

คำพิพากษาศาลฎีกาในคดีภาษีหุ้นชินคอร์ป คือจุดหักเหสำคัญที่สุดที่ทำให้เกมส์ทั้งหมดพลิกกลับภายในคืนเดียว ศาลวินิจฉัยอย่างหนักแน่นว่า การโอนหุ้นให้บุคคลอื่นถือแทน การใช้โครงสร้างไม่ปกติเพื่อหลีกเลี่ยงภาษี และการอำพรางเจ้าของผลประโยชน์ที่แท้จริง ล้วนเป็น “ธุรกรรมขาดเหตุผลทางเศรษฐกิจ” สะท้อนเจตนาหลีกเลี่ยงภาษีอย่างชัดแจ้ง คำวินิจฉัยนี้ไม่ใช่แค่การชี้ผิดในเชิงกฎหมาย แต่มันคือการ “ปิดประตู” ช่องว่างที่ระบอบชินวัตรเคยใช้ได้ผลมาตลอด ทั้งในมิติอายุความ ภาระการพิสูจน์ และโครงสร้างการถือหุ้นที่ซับซ้อน ทันทีที่ศาลฎีกาตัดสินให้กรมสรรพากรเดินหน้าบังคับคดีมูลค่ากว่า 17,000 ล้านบาท ความหวังของทักษิณที่จะปิดคดีในชั้นศาลอย่างเบาบางแทบสลายไปหมด 

ในขณะที่คดีกลางห้องพิจารณาสั่นสะเทือนอย่างต่อเนื่อง อีกด้านหนึ่งคดี ม.112 จากเหตุการณ์ให้สัมภาษณ์ที่เกาหลีใต้เมื่อหลายปีก่อนกลับกลายเป็นเชื้อเพลิงที่ถูกจุดขึ้นมาใหม่แบบไม่ทันตั้งตัว สำนักงานอัยการสูงสุดใช้ดุลยพินิจสั่งยื่นอุทธรณ์สวนทางคณะกรรมการอัยการที่ลงมติชัดว่าไม่ควรอุทธรณ์ การตัดสินใจนี้สร้างแรงสั่นในแวดวงกฎหมายทันที เพราะมันสะท้อนว่าคดีของทักษิณไม่ได้ถูกมองว่า “ควรปิด” หรือ “ควรปล่อยผ่าน” อีกต่อไป แต่มันกลับถูกดึงกลับเข้าไปสู่กระบวนการตรวจสอบในชั้นศาลอุทธรณ์แบบเจาะลึก และครั้งนี้ไม่ใช่สัญญาณตามธรรมชาติของคดี แต่เป็น “สัญญาณทางอำนาจรัฐ” ที่บอกว่าเกมไม่ได้เล่นอยู่บนกติกาแบบเดิมอีกแล้ว 

หลายคนอาจถามว่า ทำไมปีนี้จึงเป็นปีที่ระบบกฎหมายไทยดูจะ “เข้มพิเศษ” กับทักษิณ คำตอบคงอยู่ที่ภาพใหญ่ของระบบยุติธรรมไทยที่กำลังขยับทิศทางใหม่ ไม่ว่าจะเป็นศาล อัยการ หรือกระทรวงยุติธรรม ล้วนเดินไปในทิศทางเดียวกันคือ “ปิดช่องว่างของผู้มีอำนาจ” ซึ่งไม่ใช่การรุมใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นการ “รีเซ็ตมาตรฐาน” ของระบบทั้งระบบ เพื่อกู้ความเชื่อมั่นของสังคมที่สั่นคลอนมานานว่ากฎหมายไทยเข้มกับคนบางคน แต่เบากับอีกบางกลุ่ม การขยับพร้อมกันของสามสถาบันนี้จึงทำให้ระบอบชินวัตรที่อาศัยช่องว่างกฎหมายอย่างแยบยลมาตลอด ต้องพบกับทางตันที่ค่อย ๆ บีบเข้ามาทีละชั้น 

สิ่งที่เสริมแรงกดดันให้หนักขึ้นไปอีก คือการยกเครื่องระเบียบพักโทษและคุมขังนอกเรือนจำที่เข้มงวดที่สุดในรอบหลายปี กระทรวงยุติธรรมจัดระเบียบใหม่อย่างเด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็นเงื่อนไขพักโทษที่ต้องถูกจำคุกไม่น้อยกว่า 6 เดือน หรือไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามของโทษ การกำหนดให้แพทย์ถึงสองคนต้องรับรองหากต้องรักษานอกเรือนจำ และการกำหนดลักษณะของสถานที่คุมขังนอกเรือนจำให้ปลอดช่องโหว่ นี่คือการปิดทางลัดที่ผู้ต้องขังระดับ VIP เคยใช้หลีกเลี่ยงการคุมขังจริงในอดีต และผลลัพธ์ก็กระทบตรงกับภาพที่หลายคนตั้งคำถามว่า ทักษิณได้รับการปฏิบัติพิเศษหรือไม่ การยกเครื่องกฎครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่การออกระเบียบใหม่ แต่เป็นการย้ำว่าระบบไทยกำลังเดินไปสู่ “มาตรฐานเดียว” มากกว่าที่เคยเป็น

ภาพรวมทั้งหมดนี้นำไปสู่ข้อสรุปที่หลีกเลี่ยงได้ยากว่า ระบอบชินวัตรกำลังเผชิญแรงบีบในทุกแนวรบ ไม่ใช่แค่คดีใดคดีหนึ่ง แต่เป็นการปิดล้อมเชิงโครงสร้างที่ขยับไปพร้อมกันอย่างน่าประหลาด ศาลปิดช่องคดีภาษี อัยการดึงคดี 112 กลับเข้าสู่กระบวนการ และกระทรวงยุติธรรมปิดทางลดโทษ–รักษานอกเรือนจำ แนวโน้มทั้งหมดชี้ไปในทิศเดียวกันว่าเส้นทางการกลับมามีอำนาจแบบเต็มมือของทักษิณคงยากกว่าทุกช่วงเวลาในชีวิตการเมืองของเขา 

เมื่อรวมเข้ากับแรงเสียดทานในสภาที่พรรคเพื่อไทยต้องเผชิญ ความนิยมที่ลดลงในหลายโพล และความไม่พอใจของประชาชนในช่วงสถานการณ์การเมืองปัจจุบัน คำว่า “ปิดฉากถาวรระบอบชินวัตร” จึงไม่ได้เป็นเพียงสโลแกนทางการเมืองหรือคำวิเคราะห์เชิงโฆษณาชวนเชื่อ แต่มันกำลังเป็น “ภาพจริง” ที่ค่อย ๆ ปรากฏชัดขึ้นเรื่อย ๆ จากโครงสร้างรัฐที่เริ่มตั้งคำถามกับอำนาจเดิม และเลือกเดินไปข้างหน้าโดยไม่รอข้อยกเว้นแบบเก่าอีกต่อไป 

ความเชื่อที่เคยปักแน่นในสังคมว่า “ทักษิณแตะต้องไม่ได้” ดูจะพังลงอย่างเป็นระบบ และเมื่อกฎหมายเริ่มเดินต่ออย่างไม่หวั่นไหวต่อแรงการเมือง ภาพใหญ่จึงชัดเจนว่า สิ่งที่กำลังปิดฉากอาจไม่ใช่แค่บทบาทของทักษิณในคดีหนึ่งหรือสองคดี แต่คือปิดฉากระบอบชินวัตรทั้งระบบที่เคยยึดกมุมอำนาจมายาวนาน 

และหากแนวโน้มยังเป็นเช่นนี้ต่อไป ประวัติศาสตร์การเมืองไทยอาจจารึกปีนี้ว่าเป็น “ปีที่ระบอบชินวัตรเสื่อมสลายลงอย่างถาวร”

#ทักษิณ #ชินวัตร #คดีภาษีชินคอร์ป #คดี112 #การเมืองไทย #พักโทษ #คุมขังนอกเรือนจำ #วิเคราะห์การเมือง #ระบอบชินวัตร #ข่าวการเมืองไทย #วิเคราะห์ข่าว

ข่าวแนะนำ