คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ /ดร.วิวัฒน์ เศรษฐช่วย
แทบไม่น่าเชื่อเลยว่า ขณะนี้ประเด็นเรื่องของการ ชัตดาวน์ ที่เกิดขึ้นในสหรัฐฯ โดยเริ่มต้นมาตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2025 ซึ่งการเกิดวิกฤติในเรื่องนี้สร้างภาพพจน์ด้านลบต่อ “ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์” จนมีผลทำให้เขาต้องถูกโจมตีและโดนวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก เพราะปัญหาด้านชัตดาวน์ในครั้งนี้ ถือว่ายาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองของสหรัฐฯ อีกทั้งยังมีผลกระทบสร้างความเดือดร้อนให้แก่ชาวอเมริกันไปทั่วทุกหย่อมหญ้า โดยเฉพาะในวันที่ 27 พฤศจิกายน 2025 นี้ จะเป็นวัน “Thanksgiving” หรือ “วันขอบคุณพระเจ้า” ที่ชาวอเมริกันทั่วประเทศจะต้องเดินทางกลับไปฉลองวันหยุดประจำปีกับครอบครัว แต่กลับปรากฏว่าขณะนี้เที่ยวบินทั่วประเทศกลับมีความล่าช้า และยังมีอีกจำนวนมากที่ต้อง ยกเลิกเที่ยวบิน!!!
แถมขณะนี้ยังตามติดมาด้วยวิกฤติการหยุดให้ความช่วยเหลือต่อชาวอเมริกันรายได้ต่ำ ที่ต้องพึ่งพาโครงการความช่วยเหลือทางด้านอาหารการกิน ที่เรียกกันว่าโครงการ “SNAP” หรือที่นิยมเรียกกันว่า “ฟู้ดแสตมป์” จนมีผลทำให้คนอเมริกันกว่า 42 ล้านคนต้องทนหิวโหย เพราะประธานาธิบดีทรัมป์เล่นเล่ห์เหลี่ยมถ่วงเวลาการช่วยเหลือ นอกจากนั้น ชาวอเมริกันส่วนใหญ่ต่างออกมากล่าวตำหนิประธานาธิบดีทรัมป์ ในการบริหารประเทศหลายๆ ประเด็น อาทิเช่น ค่าครองชีพ รวมไปถึงสินค้าอุปโภคบริโภคมีราคาสูงขึ้น จนทำให้คะแนนนิยมของเขาร่วงหล่นลงมาเกือบ เรี่ยดิน
และจากการเลือกตั้งทั่วประเทศเมื่อวันอังคารที่ 4 พฤศจิกายน 2025 นี้ ที่ถือว่าเป็นการเลือกตั้งแบบ สตาร์ทอุ่น ให้เครื่องร้อนก่อนที่จะมีการเลือกตั้งกลางสมัยอีกครั้งคราหนึ่ง โดยปรากฏว่าการเลือกตั้งอุ่นเครื่องในครั้งนี้ พรรคเดโมแครตเป็นฝ่ายชนะไปอย่าง ถล่มทลาย โดย “นายโซห์ราน มัมดานี” ที่มีเชื้อสายชาวมุสลิม ผู้ลงสมัครเลือกตั้ง เพื่อช่วงชิงตำแหน่งนายกเทศมนตรี ณ มหานครนิวยอร์ก เป็นฝ่ายได้รับเลือก ทั้งนี้ที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่า ประธานาธิบดีทรัมป์พยายามกล่าวโจมตีต่อ นายโซห์ราน มัมดานี แบบ กระหน่ำ ติดต่อกันมากว่าสองเดือนเต็มๆ ในทำนองที่ว่า “เป็นคอมมิวนิสต์” โดยประธานาธิบดีทรัมป์ได้หันไปให้การสนับสนุน “อดีตผู้ว่าฯ แอนดรูว์ คูโอโม” ของรัฐนิวยอร์ก แต่กลับปรากฏว่า ผู้ว่าฯ ท่านนี้ต้องพบกับความพ่ายแพ้อย่าง ยับเยินจนหมอไม่รับเย็บ
และในการเลือกตั้งอุ่นเครื่องครั้งนี้ก็ยังมี “อดีตประธานาธิบดีบารัก โอบามา” และ “ผู้ว่าฯ เกวิน นิวซัม” แห่งรัฐแคลิฟอร์เนีย ออกโรงมาช่วยกันเรียกร้องให้ชาวแคลิฟอร์เนียเห็นด้วยกับข้อเสนอ “Proposition 50” (หรืออาจหมายถึง "Proposition 50" ถ้าเป็นชื่อเฉพาะ) เพื่อให้รัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งเป็นเขตของพรรคเดโมแครตได้รับชัยชนะเพิ่มสมาชิกผู้แทนฯ ได้อีก 5 คน นอกจากนั้นยังมีผู้ว่าฯ สุภาพสตรีทั้งที่รัฐนิวเจอร์ซีและรัฐเวอร์จิเนีย ก็ได้รับเลือกอีกด้วย เท่ากับว่าการเลือกตั้งครั้งอุ่นเครื่องครั้งนี้พรรคเดโมแครตมีแนวโน้มว่า “จะได้รับเลือกเข้าไปนั่งคุมเสียงข้างมากในการแข่งขันเลือกตั้งปีหน้า” และด้วยเหตุนี้ทำให้นักการเมืองของพรรครีพับลิกันเริ่มวิตกกังวลและยอมหันหน้ามาเจรจากับปัญหาเรื่องชัตดาวน์
ฉะนั้นการเลือกตั้งกลางสมัยที่จะมีขึ้นในปีหน้า ซึ่งจะเป็นการเลือกตั้งครั้งสำคัญ ที่ไม่แน่ว่าพรรคเดโมแครต อาจจะมีโอกาสเข้าไปนั่งคุมเสียงข้างมากทั้งใน วุฒิสภา และ สภาผู้แทนฯ และหากเป็นเช่นนั้นจริงๆ ก็ย่อมทำให้ประธานาธิบดีทรัมป์ บริหารประเทศแบบยากลำบาก แถมขณะนี้ศาลฎีกายังส่งสัญญาณที่จะลดบทบาทของเขาลงไปอีกด้วย
อนึ่งประเด็นร้อนเกี่ยวกับปัญหาสวัสดิการสุขภาพที่อดีตประธานาธิบดีบารัก โอบามา และอดีตรองประธานาธิบดีโจ ไบเดน สร้างเป็นผลงานชิ้น โบว์แดง เอาไว้เมื่อปี ค.ศ. 2010 ครั้งที่เขาทั้งสองดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดี โดยโครงการด้านสุขภาพที่เมื่อก่อนเรียกกันย่อๆ ว่า “โอบามาแคร์” แต่เดี๋ยวนี้เรียกว่า “Affordable Care Act” ซึ่งเป็นโครงการที่มอบให้แก่ผู้ด้อยโอกาสได้เข้าถึงการรักษาพยาบาล จนกลายเป็นที่นิยมพอๆ กับ “โปรแกรม 30 บาท” ในประเทศไทย ทั้งนี้ในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา ประธานาธิบดีทรัมป์ เพียรพยายามที่จะยกเลิกโปรแกรมสวัสดิการของประธานาธิบดีโอบามามาโดยตลอด
อย่างไรก็ตาม เมื่อสัปดาห์ก่อนหน้านี้ประธานาธิบดีทรัมป์ ได้ออกมา กดดัน ให้ “วุฒิสมาชิก จอห์น ธูน” ผู้นำของค่ายพรรครีพับลิกันในวุฒิสภา ช่วยหาทางเจรจากับแกนนำของพรรคเดโมแครต เพื่อยุติการชัตดาวน์เปิดการทำงานของรัฐบาลกลางทั่วประเทศ แถมยังสอดแทรกการยกเลิกสวัสดิการสุขภาพไปในตัว และแล้วปรากฏว่าโอกาสทองของเขาก็มาถึง เมื่อนักการเมืองสายกลางของพรรคเดโมแครตเข้าไปเจรจากับกลุ่มวุฒิสมาชิกของพรรครีพับลิกัน และเนื่องจากนักการเมืองสายกลางของพรรคเดโมแครตจำนวน 8 คน หลงกลไม่ทันเล่ห์เหลี่ยม ของประธานาธิบดีทรัมป์ ยอมเซ็นข้อตกลงกับกลุ่มพรรครีพับลิกัน เท่ากับว่าขณะนี้ร่างงบประมาณผ่านมติของวุฒิสภาไปแล้ว 60 ต่อ 40 คะแนน
ทั้งนี้การเจรจาของกลุ่มนักการเมืองทั้ง 8 คนนี้ ปรากฏว่า มิได้ส่งให้กับแกนนำของพรรคเดโมแครตตรวจสอบทบทวนก่อนที่พวกเขาจะ เซ็นข้อตกลง มีทำให้ “วุฒิสมาชิก ชัค ชูเมอร์” ผู้นำของพรรคเดโมแครตถูกโจมตีหนัก และถูกเรียกร้องให้ลาออกจากการเป็นผู้นำของพรรคในวุฒิสภา นอกจากนั้นแล้วยังมีผู้นำของพรรคเดโมแครตหลายๆ คนต่างออกมา วิพากษ์วิจารณ์ ข้อตกลงของ 8 นักการเมืองนี้กันอย่างกว้างขวาง อาทิเช่น “วุฒิสมาชิก อลิซาเบธ วอร์เรน” จากรัฐแมสซาชูเซตส์ ที่เคยลงแข่งขันเลือกตั้งในตำแหน่งประธานาธิบดีมาแล้ว โดยเขาออกมาให้ความคิดเห็นว่า “นักการเมืองทั้ง 8 คนนี้ ทำข้อตกลงที่แสน เลวร้ายสุดๆ” ส่วน “วุฒิสมาชิก เบอร์นี แซนเดอร์ส” นักการเมืองอาวุโสของพรรคเดโมแครตก็ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า “ข้าพเจ้า ก็รู้สึกผิดหวังเป็นอย่างมาก” สำหรับ ผู้ว่าฯ เกวิน นิวซัม ที่อาจจะกลายเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนต่อไป ก็ออกมาให้สัมภาษณ์ด้วยเช่นกันว่า “การยินยอม เซ็นข้อตกลง ของกลุ่มแปดนักการเมืองพรรคเดโมแครต เปรียบเสมือนยอม คุกเข่าสยบ ให้กับฝ่ายพรรครีพับลิกัน”
ส่วนวุฒิสมาชิก ชัค ชูเมอร์ ที่ถูกหางเลขแบบ เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง แต่ต้องเอากระดูกมาแขวนคอ ออกมากล่าวอย่าง ฉุนเฉียว ว่า “ข้าพเจ้าไม่เห็นด้วยกับข้อตกลงที่เกิดขึ้นระหว่างแกนนำแปดคนของพรรคเดโมแครต กับ ค่ายพรรครีพับลิกัน และในช่วงหกสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ข้าพเจ้ามีความรู้สึกว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ใจดำ มีความโหดร้ายต่อชาวอเมริกันแบบสุดๆ” ทั้งนี้นักการเมืองทั้ง 8 คนของพรรคเดโมแครต ที่ปรากฏว่า มีสองคนจะ เกษียณ ในปีหน้า ส่วนอีกหกคนก็ไม่ต้องลงแข่งขันเลือกตั้งในปีหน้า เท่ากับว่าการกระทำของพวกเขาในครั้งนี้ มิได้ส่งผลกระทบต่ออนาคตทางการเมืองของพวกเขาแต่อย่างใดเลย!!!
กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้นเมื่อมองในภาพรวมกันแล้ว จะเห็นได้ว่าบรรดาสมาชิกนักการเมืองในค่ายพรรคเดโมแครตไม่เห็นด้วยและต่างพากัน โกรธแค้น ต่อ นักการเมืองทั้ง 8 คนที่กระทำการ ทรยศ ต่อคนอเมริกันระดับรากหญ้าผู้ยากไร้ โดยยอมไปอ่อนข้อให้กับพรรครีพับลิกันอย่างไม่ยอมปรึกษาหารือเพื่อนร่วมพรรค และต้องไม่ลืมว่า “ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์” เป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านกฎหมาย ที่เขาต้องเผชิญและต้องต่อสู้ในข้อกล่าวหาต่างๆ มากกว่า 4,000 คดี และจากการสำรวจเมื่อปี ค.ศ. 2024 ของบรรดานักประวัติศาสตร์อเมริกัน 154 คนที่ออกมาเปิดเผยว่า ประธานาธิบดีทรัมป์เป็นประธานาธิบดีที่สามารถครองใจคนอเมริกันในอันดับ โหล่รั้งท้ายที่สุด ส่วน “ประธานาธิบดีบารัก โอบามา” สามารถครองใจคนอเมริกันอยู่ในอันดับที่ 7, และ “ประธานาธิบดีโจ ไบเดน” อยู่ในอันดับที่ 14 ซึ่งพอจะสรุปแบบคร่าวๆ ได้ว่า ทั้งประธานาธิบดีโอบามา และประธานาธิบดีโจ ไบเดน ต่างก็สร้างผลงานชิ้น โบว์แดง ที่ทำเพื่อประชาชนปรากฏให้เห็นจนเป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาของนักประวัติศาสตร์ ส่วนประธานาธิบดีทรัมป์เป็นแค่เพียงนักฉวยโอกาสที่พยายามทุกๆ วิถีทางหว่านล้อม ให้ผู้คนพากันหลงเชื่อ เพียงเพื่อต้องการจะเอาตัวของเขาเองรอดเท่านั้นละครับ.







