ภาวะสินค้าเกษตรไทย ในสัปดาห์วันที่ 10-14 พฤศจิกายน 2568 สะท้อนความเคลื่อนไหวที่แตกต่างกันระหว่าง วัตถุดิบอาหารสัตว์ และ กลุ่มปศุสัตว์ โดยภาพรวมพบว่า ต้นทุนอาหารสัตว์ ส่วนใหญ่ ยังทรงตัว หรือ ปรับลงเล็กน้อย ขณะที่ ราคาเนื้อสัตว์ และ ไข่ปรับตัวสูงขึ้น ตามแรงหนุนด้านอุปสงค์และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ สถานการณ์ดังกล่าวสร้างแรงกดดันและโอกาสใหม่ไปพร้อมกันสำหรับผู้ประกอบการตลอดห่วงโซ่อุปทานสินค้าเกษตรไทย
ในฝั่งวัตถุดิบอาหารสัตว์ ราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ยังทรงตัว ที่กิโลกรัมละ 9.80 บาท แม้ตลาดล่วงหน้าชิคาโก (CBOT) จะปรับเพิ่มขึ้นเกือบ 1.5% ทำจุดสูงสุดในรอบ 5 เดือนจากแรงเก็งกำไรต่อรายงานอุปทาน–อุปสงค์โลกของ USDA ที่กำลังจะเผยแพร่ ความเคลื่อนไหวของตลาดโลกยังส่งสัญญาณราคาที่เริ่มฟื้นตัว แต่ภายในประเทศปริมาณผลผลิตยังเพียงพอทำให้แนวโน้มราคาไม่น่าผันผวนมากนัก ขณะที่ กากถั่วเหลือง ปรับลดลงจากกิโลกรัมละ 14.80 บาท เหลือ 14.60 บาท สวนทางตลาดโลกที่กำลังร้อนแรงหลังราคาพุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 17 เดือน จากแนวโน้มผลผลิตถั่วเหลืองสหรัฐฯ ที่ลดลง และการกลับมาซื้อจริงของจีน อย่างไรก็ตาม การเก็บเกี่ยวในสหรัฐฯ เดินหน้าไปแล้วเกือบสมบูรณ์ และบราซิลเพาะปลูกเกือบครึ่งพื้นที่ ทำให้ต้นทุนการนำเข้ายังไม่เป็นปัจจัยกดดันที่รุนแรงในระยะสั้น
ด้าน ปลาป่น ราคายังคงทรงตัวแม้ตลาดโลกมีแรงหนุนชัดเจนจากโควตาการจับปลาฤดูกาลปลายปีของเปรูที่ต่ำกว่าคาด ส่งผลให้สต็อกจีนลดลงและราคาปรับขึ้น สำหรับตลาดไทย ราคาปลาป่นเกรดกุ้งยังอยู่ที่ 46 บาท/กิโลกรัม และปลาป่นโปรตีน 60% อยู่ที่ 40.70 บาท/กิโลกรัม สะท้อนว่าต้นทุนการผลิตอาหารสัตว์ยังอยู่ในระดับที่ผู้ประกอบการสามารถบริหารจัดการได้ ส่วนข้าวยังไม่มีการรายงานภาวะตลาดในสัปดาห์นี้ ทำให้ราคาในประเทศคาดว่าจะทรงตัวเช่นกัน
ในฝั่งปศุสัตว์ สัญญาณบวกชัดเจนกว่าฝั่งวัตถุดิบ โดย ราคาสุกรมีชีวิต ปรับเพิ่มขึ้นทั่วประเทศต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่สอง ตามประกาศของสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ ราคาหน้าฟาร์มขยับขึ้นอีก 4 บาท/กิโลกรัม มาอยู่ในช่วง 62–69 บาทต่อกิโลกรัม แม้จะยังต่ำกว่าต้นทุนการผลิตเฉลี่ย 77.50–86.25% แต่โมเมนตัมตลาดเริ่มฟื้นตัวจากมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อ เช่น โครงการคนละครึ่งพลัส และ การบริโภคในครัวเรือน ที่ดีขึ้น ส่วน ราคาไก่เนื้อ ยังทรงตัว โดยรายงานล่าสุดระบุว่าราคาอยู่ที่ 36 บาท/กิโลกรัม และ ลูกไก่เนื้อ ที่ 18.50 บาท ซึ่งเป็นระดับราคาที่สะท้อนอุปทานและอุปสงค์ค่อนข้างสมดุลในตลาด
ขณะที่ ไข่ไก่ มีการปรับขึ้นราคาอย่างมีนัยสำคัญ โดยเครือข่ายสหกรณ์ผู้เลี้ยงไก่ไข่ปรับราคาแนะนำไข่คละหน้าฟาร์มขึ้นอีก 20 สตางค์ต่อฟอง จาก 3.00 บาท เป็น 3.20 บาท ตามอานิสงส์จากการเปิดภาคเรียน การส่งออกที่ขยายตัว และมาตรการรัฐอย่าง บัตรสวัสดิการ และ โครงการคนละครึ่งพลัส ช่วยดูดซับปริมาณที่ล้นตลาดก่อนหน้านี้ ทำให้โครงสร้างอุปทานกลับเข้าสู่ภาวะสมดุลมากขึ้น
ภาพรวมของภาวะสินค้าเกษตรในสัปดาห์นี้จึงสะท้อน จุดเปลี่ยนสำคัญ ของตลาดเกษตรไทย ต้นทุนอาหารสัตว์ที่นิ่งลงช่วยลดแรงกดดันต่อผู้เลี้ยง ขณะที่ราคาผลผลิตปศุสัตว์เริ่มขยับขึ้นตามอุปสงค์และมาตรการรัฐ แม้ยังไม่ใช่การฟื้นตัวเต็มรูปแบบ แต่ถือเป็น สัญญาณบวก ที่ช่วยเสริมความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการ และอาจเป็นปัจจัยต่อเนื่องที่ทำให้ราคาสินค้าเกษตรไทยมีเสถียรภาพมากขึ้นในช่วงปลายปี หากไม่มีปัจจัยลบจากตลาดโลกเข้ามากระทบเพิ่มเติม








