ปากกาขนนก / สกุล บุณยทัต
“การฟังและรับฟังในชีวิตของคนเรา ถือเป็นสิ่งสำคัญที่นำไปสู่การรับรู้อันจำเป็น มันคือปฏิกิริยาอันล้ำลึกแห่งความเข้าใจในตัวตน ที่ย้ำเตือนต่อความทรงจำเสมอ เป็นแสงฉายภายในที่ทอประกายออกมาในนามของ ‘เจตจำนง’
ความหวังในทุกความหวังของผู้คน จึงยึดมั่นอยู่กับการกระทำที่มีน้ำหนักของการตระหนักรู้... อันหมายถึง ‘อำนาจดุจปีศาจได้สร้างสรรค์เอาไว้’ เพื่อสนองรับต่อความดีความชั่วทั้งปวง ที่ชีวิตของมนุษย์ทุกคนต้องพลัดตกลงไปคลุกเคล้า จนยากจะคืนกลับมาสู่ภาวะอันเป็นปกติได้...
เหตุนี้... มนุษย์เราทุกคนจึงสมควรที่จะต้องรับฟังในทุกสิ่งที่ผ่านข้ามเข้ามาสู่ชีวิต ด้วยการหยั่งเห็นถึง ‘ความหมาย’ เป็น ‘ความจริงในจริง’ ให้มากกว่าการฟังเพียงเพื่อให้ได้ยินแต่คำพูดระหว่างกันและกัน... เพียงเท่านั้น!”
นี่คือประเด็นแห่งการก่อผัสสะแห่งการรับรู้และเรียนรู้อันสำคัญจากหนังสือ “เทคนิคการฟังแบบปีศาจ” โดยนักเขียนเกี่ยวกับแนวคิดแห่งการพัฒนาตัวเองและปรัชญาชาวญี่ปุ่น “อัตสึฮิโกะ นากามูระ” (Atsuhiko Nakamura)
“เทคนิคการฟังแบบปีศาจ” เป็นหนังสือที่เขียนขึ้นจากมุมมองใหม่ๆ ในการกำหนดข้อคิดแห่งชีวิต โดยมุ่งสื่อสารถึงการควบคุมบทสนทนาและความสัมพันธ์โดยใช้ “การฟังและการรับฟัง”... ไม่ว่าจะเผชิญหน้ากับคู่สนทนาแบบไหนก็ตาม! หนังสือเล่มนี้จะช่วยให้ผู้อ่านได้ฝึกทักษะในการฟังให้ได้ยินในสิ่งที่ “แม้จะไม่ได้พูด” เพื่อจะได้รับรู้ข้อมูลเชิงลึกตามที่เราต้องการ!
“ฟังให้ได้ยินมากกว่าที่เขาหรือใครพูดออกมา ฟังอย่างตั้งใจ ลึกซึ้ง และโฟกัส... แม้แต่สิ่งที่เขาไม่ได้พูดออกมา”
ว่ากันว่า... การเลือกสถานที่พูดที่สร้างบรรยากาศอันเหมาะสมและปลอดภัย จะช่วยให้ผู้พูดกล้าที่จะเปิดใจพูดถึงเรื่องราวต่างๆ ได้อย่างสะดวกและง่ายขึ้น การสร้างบรรยากาศที่ช่วยให้ผู้พูดสบายใจ รู้สึกไม่ถูกตัดสิน... เพราะเมื่อใดก็ตามที่ผู้พูดรู้สึกปลอดภัย “เขาหรือเธอ” จะเปิดใจพูดในสิ่งที่แท้จริงออกมา ซึ่งจะนำไปสู่ความเข้าใจที่สำคัญ!
การฟังให้ได้เห็นถึง ความหมาย ไม่ใช่แค่ได้ยินแต่คำพูด ถือเป็น “การฟังแบบปีศาจ” ซึ่งหมายถึงการฟังแบบ “เหนือชั้น”... ฟังสัญญะที่ไม่ได้พูดออกมา เสียงเงียบ น้ำเสียง ตลอดจนสัญชาตญาณ ถือเป็นลักษณะของการสื่อสารการพูดที่ต้องเรียนรู้อย่างตั้งใจ... “เพื่อเข้าใจ”!
การฟังในลักษณะนี้ ถือเป็นการฟังไปถึงเบื้องหลังของสิ่งที่พูดว่า... ทำไมเขาถึงพูดแบบนั้น? มีแรงจูงใจอะไร? เนื่องเพราะ “การฟังด้วยใจ” เป็นการฟังด้วยอารมณ์ ด้วยการสัมผัสเนื้อหา... การฟังในลักษณะหรือระบบความคิดนี้จะไม่ใช่การฟังอย่างผิวเผินและตื้นเขิน แต่จะเป็นการฟังที่ “เข้าใจความหมาย” ซึ่งซ่อนอยู่เบื้องหลัง ซึ่งจะทำให้เราสามารถตอบสนองได้อย่างลึกซึ้งและเหมาะสมยิ่งขึ้น!
ดังนั้น... ในการฟังทุกๆ ครั้ง เราจึงต้อง “อย่าตัดสิน” “อย่าเปรียบเทียบ” “อย่าแทรกแซง” เราจักต้องใส่ใจ ตั้งใจ และเข้าใจที่จะฟังในสิ่งที่ “ใครๆ” สื่อสารออกมา โดยไม่เอาความคิดของเราเองมาขัดขวาง... อย่ารีบตั้งคำถาม อย่าแทรกแซง อย่าตั้งคำถามซ้อนขัดจังหวะ แต่ต้องรับฟังให้จบก่อน ไม่ใช่จะพูดถึงตัวเองในทันที หรือนำเอาประสบการณ์ส่วนตัวของเราเข้าไปเปรียบเทียบหรือตีความเรื่องอื่นๆ!
การตั้งคำถามที่เป็นคุณประโยชน์ จะต้องใช้คำถามที่มุ่งไปข้างหน้าแทนการตั้งคำถามแบบ “หยุดนิ่ง” นี่คือการฟังเชิงลึก ไม่ใช่การฟังแค่ฟังแล้วจบ แต่จะใช้ในสิ่งที่ฟังมาเป็นจุดเริ่มต้นของความเข้าใจที่ลึกซึ้งขึ้น!
การใช้คำถามที่นำพาไปข้างหน้า จะต้องฝึกฝนทักษะในการตั้งคำถาม การเลือกใช้ถ้อยคำที่เหมาะสม และมีการเปิดโอกาสให้ได้มีการต่อยอดบทสนทนาได้! แทนที่จะถามว่า “แล้วคุณรู้สึกอย่างไร?” แต่ให้ถามว่า... “อะไรทำให้คุณรู้สึกอย่างนั้น?” แทนที่จะหยุดคำตอบ แต่ให้ถามด้วย “แล้วอะไรต่อ?” ซึ่งเท่ากับเป็นการเปลี่ยนการสัมภาษณ์แบบผิวเผินสู่การสนทนาที่เจาะลึก!
ที่สำคัญ... จงสร้าง “ห้องปลอดภัย” ให้ผู้พูด มันคือการสร้างบรรยากาศที่เหมาะสม การเลือกสถานที่ที่สร้างบรรยากาศปลอดภัยจะทำให้ผู้พูดกล้าที่จะเปิดใจพูดด้วยความรู้สึกปลอดภัย! “เขา” จะเปิดใจพูดในสิ่งที่แท้จริงออกมามากขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่ความเข้าใจที่ลึกกว่า!
บทสรุปของ “การฟังแบบปีศาจ” จึงเป็นสิ่งที่ทุกคนสมควรจะต้องฝึกฝนและทำความเข้าใจ เพื่อจะสามารถใช้ภาษาในการสื่อสาร สร้างความรู้สึกปลอดภัย เพื่อให้ทุกคนได้รับ “ข้อมูล” ต่างๆ อย่างที่ปรารถนาได้ไม่ยาก!!!
ประเด็นสำคัญที่สุดในเบื้องลึกของเทคนิคการฟังความรู้สึกแท้จริงของผู้อื่นจนถึงวินาทีสุดท้าย จึงอยู่ที่และขึ้นอยู่กับแนวทางการเคลื่อนไหวที่ชี้นำคำพูดของอีกฝ่ายจากสภาพแวดล้อมของโลก...
แนวทางการตั้งสมมติฐาน: ทำนายสถานการณ์ของอีกฝ่ายผ่านความโรแมนติกของเขา
การรับรู้ถึงถ้อยคำและความคิดที่อีกฝ่ายไม่พูดออกมา
แนวทางการสร้างภาพ: โดยกำหนดจุดเริ่มต้นและจินตนาการ สร้างจุดเริ่มต้นของเรื่องราว โดยนำข้อมูลในหัวใจของคุณมาเปลี่ยนจากศูนย์เป็นหนึ่ง
สร้างบุคลิกภาพของอีกฝ่ายผ่านความโรแมนติกของเขา: นั่นคือ “แนวทางความรัก”
แนวทางการเจาะลึก: เจาะลึกลงไปว่า “เพราะเหตุใด?”
แนวทางสมมติฐานย้อนกลับ: ใช้คำที่มีแนวโน้มที่จะตรงข้ามกับความเป็นจริง เพื่อให้ได้คำพูดอันหนักแน่นยิ่งขึ้น!
แนวทางการสร้างภาพพจน์: โดยฟังจนกว่าคุณจะนึกภาพออกมาได้
แนวทางทางการเงิน: ทำความเข้าใจอีกฝ่ายจาก “สถานะทางการเงิน” ของเขา
แนวทางการใส่ใจ: คือการพยายามใส่ใจใน “คีย์เวิร์ด” ที่อีกฝ่ายพูดถึง!
อำนาจของความหมายปรากฏในหนังสือเล่มนี้อย่างน่าขบคิด มันเน้นย้ำถึงคุณค่าของการรับฟังในสิ่งที่สมควรรู้และตระหนักรู้ต่อความเป็นชีวิตอย่างต่อเนื่อง และโยงใยสู่เงื่อนไขของปรารถนาอันแท้จริง!
เราต่างมีชีวิตอยู่ในโลกที่จำเป็นต้องเข้าใจตัวเองและผู้อื่น ผ่านรสชาติของชีวิตที่แทบจะเลือกไม่ได้ในวันนี้ การสอดรับ “ความมีความเป็น” ณ เบื้องต้น จึงเท่ากับการก่อผัสสะในการสร้างรูปรอยแห่งจิตวิญญาณของชีวิตอย่างถาวรโดยแท้!
“มาลี ศรีวรกุล” แปลหนังสือเล่มนี้ออกมาอย่างมีคุณค่า “สะท้อนภาพในภาพสะท้อน” ต่อนัยข้อคิดต่างๆ ออกมาด้วยความหวัง และพัฒนาต่อการรับรู้ความหมายของอำนาจอย่างมีพลัง ที่อยู่เหนือการคาดเดาและประเมินค่าใดๆ!
“ฟังความรู้สึกแท้จริงของอีกฝ่าย... ไม่ใช่แค่คำพูด!”








