ปากกาขนนก/ สกุล บุณยทัต
“ชีวิตของคนเราต่างปรารถนา ความสุขอันยั่งยืนทั้งกายและใจในทุกเมื่อ เป็นบรรทัดฐานของการรับรู้ที่ดำรงอยู่อย่างมีความหวัง...ทั้งหมดทั้งสิ้นย่อมก่อเกิดขึ้น ทั้งด้วยความคิดจิตใจและอารมณ์ของแต่ละบุคคลตามกาลโอกาสที่พึงมี เหตุนี้การตระหนักในการรักษาสมดุลเหนือจังหวะชีวิต จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นที่คนเราทุกคน ต้องหยั่งเห็นและค้นพบให้จงได้..! ว่ากันว่า..ความเนิบช้าจะเป็นห้วงขณะแห่งการกระทำเพื่อรักษาสมดุลแห่งชีวิตได้มั่นคงกว่าการเร่งรีบจนเสียจังหวะ แต่ความเร่งรีบก็ยังเป็นสิ่งที่คุ้นชินที่มวลมนุษย์กระทำอยู่ซ้ำ ๆ...ข้อแตกต่างนี้..กลายเป็นโครงสร้างของมิติคิดที่ต้อง..พิสูจน์ถึงสถานะของความจริงกันต่อไป…!”
สาระแห่งความคิดคำนึงเบื้องต้น...คือรากฐานสำคัญของการดำเนินชีวิต ณ วันนี้ ที่ได้รับจากหนังสืออันทรงคุณค่า... “วะ (THE ART OF BALANCE)” “ศิลปะแห่งการรักษาสมดุลชีวิต” ตามทฤษฎีความคิดแบบ “ญี่ปุ่น” ซึ่งเขียนโดย “Kaki Okumura” นักเขียนเชื้อสาย “ญี่ปุ่น-อเมริกัน”...ซึ่งเติบโตในสหรัฐอเมริกา..แล้วก็ได้กลับมาบ้านเกิด เพื่อค้นหาและแสวงหาความหมายของ “การมีสุขภาพดีในแบบญี่ปุ่น”...ผ่านหลักปรัชญาและกระบวนวิธีคิดของ “คนญี่ปุ่น” ที่ล้วนมีสมดุลแห่งชีวิตทั้งกายและใจ..!
โดยการใช้ 4 เสาหลักของ “วะ” เป็นรากฐานของการประพฤติปฏิบัติ อันประกอบด้วย.. เสาหลักที่ 1: การบำรุง (Nourish) เสาหลักที่ 2: การเคลื่อนไหวร่างกาย (Move) เสาหลักที่ 3: การพักผ่อน (Rest) เสาหลักที่ 4: การเข้าสังคม (Socialize)
การบำรุง (Nourish) หมายถึงการบำรุงชีวิตจากด้านใน...โดยการกินอย่างพอดี ไม่จำเป็นต้อง “ไดเอต” จนสุดโต่ง โดยเน้นความเรียบง่ายและใส่ใจ อย่างเช่น “การกินอิ่มแค่ 80 เปอร์เซ็นต์ (ฮาระฮาจิบุนเมะ)” รวมทั้งการเลือกอาหารที่ทำให้ชีวิตดูแจ่มใสและสดใส..ตลอดเวลา..!
นั่นคือการยึดหลัก “ความธรรมดาและเรียบง่าย ไม่ต้องกินอิ่มแบบแน่นอย่างถึงที่สุด ไม่ต้องฝืนห้ามใจและควบคุม จนตึงเครียด สิ่งสำคัญ คือการฟังร่างกายตัวเองให้รู้ว่า “เมื่อไหร่ ควรพอ”...การกินอย่างหลากหลาย แต่ให้ปรับสมดุลเล็ก ๆ เช่นการลดรสจัด ลดซอสลง หรือเพิ่มผักลงไปในเมนูที่เราชอบ
คนญี่ปุ่นนิยมใช้หลัก “อิจิจูซันไซ” อันหมายถึงการกิน ซุปหนึ่งอย่าง กินกับข้าวสามอย่าง เพื่อให้ร่างกายได้สารอาหารครบถ้วน และยังได้ความรู้สึกพึงพอใจ ทั้งรสชาติและปริมาณด้วย..!
...ความสะดวกเป็นเรื่องสำคัญเช่นกัน ไม่จำเป็นที่จะต้องทำอาหารให้หรูหราอะไร ..ทำให้ง่าย ๆ แค่เตรียมของให้พร้อมล่วงหน้า แบบวัตถุดิบแช่แข็ง หรือกล่องแบบเบนโตะเล็ก ๆ ก็ดูแลตัวเองได้ดีแล้ว เครื่องปรุงอาหารพื้นฐานของญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็น มิโซะ ซาเกะ หรือ ดาชิ ก็ช่วยให้อาหารบ้าน ๆ กลายเป็นอาหารที่เป็นเมนูสุขภาพดี..
...กินอย่างเพลิดเพลินแต่มีสติ (Indulgent) โดยไม่ต้องห้ามความอยาก แต่ให้เลือกกินของดีมีคุณภาพจริง ๆ เช่นเลือกช็อกโกแลตแทนขนม เลือกของที่ทำเองมากกว่าของที่แปรรูป.. “สุขภาพดี ไม่ใช่แค่การงด แต่คือการให้สิ่งที่ดีที่สุดแก่ตัวเอง..”
การเคลื่อนไหวร่างกาย (Move) สื่อถึงการเคลื่อนไหวร่างกายอย่างกลมกลืน..โดยการปลูกฝังสิ่งที่เหมาะสมกับชีวิตประจำวันของเรา..โดยการออกกำลังกายที่ไม่ต้องเข้ายิมแบบฮาร์ดคอร์ หรือวิ่งมาราธอนทุกเช้า แต่ควรเป็นไปโดยธรรมชาติและสนุกสนานเพลิดเพลิน ไม่ต้องหาเวลา แต่ผสาน “ความขยัน” เข้ากับชีวิตอย่างไม่รู้ตัว..
...การออกกำลังกาย ควรเป็นเรื่องที่เราสนุกและทำได้อย่างต่อเนื่อง..! สุภาษิตญี่ปุ่นที่ระบุว่า.. Jiyu-honpu” อันหมายถึงการใช้ชีวิตตามจังหวะของตัวเอง การออกกำลังกายก็เช่นกัน..เราชอบอะไรสนใจอะไรก็ทำในสิ่งนั้น เช่น การเดินช้า ๆ ในท่ามกลางสวนแทนการเต้นเร็ว ๆ ตามคลาส นั่นเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว !
...สิ่งแวดล้อมมีผลมากกว่าที่คิด ..หมายถึงว่า การได้อยู่กับธรรมชาติ เช่นเดินในสวน ปั่นจักรยานริมแม่น้ำ นั่งเล่นใต้ต้นไม้ ก็สามารถลดความดันเลือดและเพิ่มพลังชีวิตได้แล้ว.. ตัวอย่างหมู่บ้าน “โองิมิ” ใน “โอกินาวะ“ ที่ผู้คนมีอายุยืนยาวและแข็งแรง เพราะมีวิถีชีวิตที่กลมกลืนกับธรรมชาติ..!
...ต้องเปลี่ยนทัศนคติจากการออกกำลังกายเพื่อบรรลุเป้าหมาย ..มาเป็นเพื่อสนุกหรือ เพื่อผู้อื่น ..! ทั้งนี้เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้ตัวเองและคนรอบข้าง เราไม่จำเป็นต้องทำให้ครบเวลา แต่แค่เริ่มด้วยรอยยิ้ม กายก็แข็งแรง ใจก็เบาสบาย..!
การพักผ่อน (Rest) การพักผ่อนที่แท้จริง ช่วยฟื้นพลังชีวิตจากด้านใน..กล่าวคือ.. ญี่ปุ่นมีศิลปะดั้งเดิมที่ฝึกใจให้ช้าลง เช่น พิธีชงชา (ชาโด) หรืออาหารแบบ “ไซจินเรียวริ” ที่ทำให้เราใส่รายละเอียดเล็ก ๆ ในชีวิตอีกครั้ง..!
...จักต้องใส่ใจในรายละเอียด (Kodawari) แนวคิดของญี่ปุ่นที่ให้คุณค่าต่อสิ่งที่เล็กที่สุด เช่นช้อนที่จับถนัดมือ หรือแสงแดดยามบ่ายที่ตกกระทบโต๊ะอาหาร ..การใส่ใจในลักษณะนี้ทำให้ “ทุกวันที่แสนจะธรรมดา” กลายเป็นวันที่น่าจดจำได้ !
..สภาพแวดล้อมส่งผลต่อใจ..ว่ากันว่า การพักผ่อนที่ดีเริ่มจากพื้นที่ที่ดี การมีของน้อย เพื่อให้ใจเราว่างพอจะพัก..ลองจัดห้อง จัดโต๊ะ ดูแลมุมเล็กให้สบายตา แล้วคุณจะรู้สึกว่า..ใจสงบลงทันที..
...จงเชื่อมโยงกับจิตวิญญาณ..ความเชื่อแบบญี่ปุ่น เทศกาลโอบง (Obon) วันปีใหม่ เป็นการเคารพบรรพบุรุษและความรู้สึกขอบคุณ ผู้สูงวัยในญี่ปุ่นจะพูดคำว่า “Arigato” เพื่อสื่อถึงความรู้สึก ”ขอบคุณ“ ที่เรายังมีชีวิตอยู่…!
การเข้าสังคม (Socialize) ความสัมพันธ์ที่บำรุงใจ/..เริ่มต้นทักทายแบบใส่ใจ โดยในวัฒนธรรมญี่ปุ่นการทักทาย (Aisatsu) คือพื้นฐานของการอยู่ร่วมกัน ไม่ใช่แค่ “สวัสดี” หรือ “ลาก่อน” แต่รวมถึงคำ “อิตเตคิมัส” (ไปก่อนนะ) หรือ “โอกาเอริ” อันหมายถึง การยินดีต้อนรับการกลับบ้าน..ก็ช่วยสร้างความรู้สึกว่า “คุณเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน”
...แบ่งปันความใส่ใจ ไม่ใช่ของขวัญแต่เป็นความรู้สึก/วัฒนธรรม “โอมิยาเกะ” แบบญี่ปุ่น หรือของฝากในญี่ปุ่น ไม่ใช่เรื่องของราคา แต่คือ “ฉันนึกถึงเธอ” การกินข้าวด้วยกัน การส่งข้อความสั้น ๆ หรือแม้แต่การแบ่งชาขวดหนึ่ง..ล้วนเป็นภาษาของความใส่ใจ..!
...ใกล้กันได้ มันต้องใช้เวลาและความเข้าใจ/ไม่มีทางลัดสำหรับความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้ง แต่ต้องลงทุนด้วย เวลาและความอดทน การได้เติบโตไปพร้อมกันในจังหวะของแต่ละคน คือของขวัญที่มีค่าที่สุด จากความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์
...ลดอัตตาแล้วให้เพื่อส่วนรวม /คนญี่ปุ่น มีวัฒนธรรม “ระงับอัตตา” เช่นการช่วยกันเก็บขยะ หลังแข่งขันกีฬา ..การทำสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อส่วนรวมโดยไม่หวังผลตอบแทน เช่นนี้..เป็นการฝึกให้เรารู้จัก “มองออกจากตัวเอง”
“ความสัมพันธ์ที่ดีไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่มาจากความใส่ใจเล็ก ๆ ทุก ๆ วัน“
เมื่อชีวิตได้เผชิญหน้ากับปรากฏการณ์นานาที่ชวนสั่นไหว การค่อย ๆ คลี่คลาย ด้วยความเข้าใจอันละเอียดอ่อน จะส่งผลให้คนเรา “สงบเย็น” เมื่อต้องเผชิญหน้ากับ “นัยวิกฤต” การพยายามเพ่งมอง และคว้านลึกลงไปในปมเงื่อนแห่งชีวิตนานา จะทำให้ตัวตนของเราได้มีโอกาสหยั่งเห็นถึงความเป็นจริงแห่งชีวิตที่ทั้งลึกซึ้งและลึกลับ
ประเด็นที่ “Kaki Okumura” ยกขึ้นมาแสดงในแต่ละ “เสาหลัก” จึงคือ..ภาพสะท้อนอันเจิดกระจ่างของจิตวิญญาณที่มองดูเรียบง่าย แต่กลับอุดมไปด้วยภูมิปัญญาที่ต้องตีความอย่างถ้วนถี่ เพื่อก้าวย่างต่อ ๆ ไปที่เป็นอนาคตของอนาคต..!
“วะ” ไม่ใช่หนังสือธรรมะ แต่เป็นหนังสือที่สะท้อนภาพ..ศิลปะแห่งการรักษาสมดุลชีวิต โดยเน้นการใช้ชีวิตอย่างเป็นเอกภาพ..มีความสงบสุขทั้งกายและใจ ผ่านรากของการปฏิบัติด้วยการบำรุงกาย/เคลื่อนไหว/พักผ่อน/เข้าสังคม และ การใช้ชีวิตอย่างมีสติ อันเป็นแนวทางสำคัญ ที่ทำให้จิตใจได้มีโอกาสสุขสงบ ในโลกที่ “วิกฤตรีบเร่ง” เหมือนดั่งเช่นทุกวันนี้…!
ภาพประกอบอันสวยงามของหนังสือเล่มนี้ ทำให้ความหมายของ ”วะ“ มีคุณค่าทางวรรณกรรมเพิ่มมากยิ่งขึ้น กอปรด้วยรูปเล่ม ที่เปี่ยมเต็มไปด้วยสีสันอันวิจิตร..ภาพสะท้อนของ ”วะ“ จึงเป็นการเชื่อมใจและกายสู่กัน…!
การแปลของ “มนัสวี” ถือเป็นความจริงจังและงดงามอีกด้านหนึ่ง ที่ได้ตอกย้ำและกระตุ้นถึงด้านในของชีวิต ที่ควรฝึกฝน จดจำ และ กระทำกัน..ทุก ๆ คน!
“การฟื้นพลังชีวิตจากข้างใน ให้กลับมารู้สึกมีชีวิตชีวา“ ..อีกครั้ง คือการได้ทำในสิ่งที่เรารัก ช่วยกระตุ้น ความสงสัย ความหลงใหล และความอยากรู้…!”








