เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2567 นายอัษฎางค์ ยมนาค หรือ “เอ็ดดี้” นักวิชาการอิสระ โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า "ธนาธร" เชื่อหาก "พิธา" เป็นนายกฯ สถานการณ์ชายแดนจะไม่มาถึงจุดนี้ #อัษฎางค์ยมนาค #อัษฎางค์ยมนาค #วันนี้พรรคส้มโกหกอะไร
ทัศนคติของผู้นำพรรคส้ม (พิธา/ธนาธร) สะท้อนแนวคิด “การลดทอนกำลังทหาร” โดยตั้งอยู่บนสมมติฐานว่าโลกยุคใหม่ใช้การเจรจาและเศรษฐกิจแทนการรบ แต่แนวคิดนี้ละเลยความจริงที่ว่า “การทูตที่ไร้กำลังทหารหนุนหลัง คือการทูตที่ไร้พลัง” ด้วยทัศนคติเกี่ยวกับการทหารและความมั่นคงของพิธาและพรรคส้ม เราอาจจะเสียเปรียบเพื่อนบ้านไปตั้งแต่ยังไม่ได้ลงมือทำอะไรเลยด้วยซ้ำ นาย ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ กล่าวในกิจกรรม “ปิกนิก พรรคประชาชนพบประชาชน ณ สนามหญ้า มศว.ประสานมิตร โดยระบุถึงปัญหาสันติภาพว่า ตนเองเห็นด้วยว่าที่ผ่านมาเราทำไม่ดีพอที่จะหยุดยั้งสถานการณ์ไม่ให้มาถึงจุดนี้ เชื่อว่า ไม่มีใครกระหายเลือด กระหายสงคราม พวกเราต้องการสันติภาพ เชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า หากวันนั้นนาย พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล เป็นนายกรัฐมนตรี สถานการณ์จะไม่มาถึงจุดนี้เด็ดขาด มาย้อนดูนโยบายและทัศนคติทางด้านการทหารและความมั่นคงของชาติของพิธาและพรรคส้มกันอีกครั้ง กับคำพูดของธนาธร “หากวันนั้น พิธาเป็นนายกฯ สถานการณ์ชายแดนจะไม่มาถึงจุดนี้เด็ดขาด” ความจริงจะยังไงกันแน่?
พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ปราศรัยหาเสียง 18 มี.ค. 2566
ประเทศไทย ทหารมีไว้ทำไม ก็จะไปรบกับใคร สมมติมีคนมารุกราน ผมก็ไม่เชื่อว่าคุณจะรบชนะด้วยจำนวนทหาร 3 เท่าของเพื่อนบ้าน
เสนอยกเลิกเกณฑ์ทหาร
ธนาธรกำลังอธิบาย “โลกในอุดมคติ” ไม่ใช่ “โลกของความสัมพันธ์ระหว่างรัฐ” คำกล่าวของธนาธรตั้งอยู่บนสมมติฐาน 3 ประการ
ทุกฝ่ายต้องการสันติภาพ
เครื่องมือทางการทูต/การค้าเพียงพอจะยับยั้งความขัดแย้ง
การไม่ใช้กำลัง = ลดความรุนแรง ปัญหาคือ สมมติฐานทั้งสาม “ไม่สอดคล้องกับพฤติกรรมรัฐจริง” โดยเฉพาะรัฐที่ใช้ “แรงกดดันชายแดน” เป็นเครื่องมือการเมืองภายใน ในโลกจริงของความมั่นคง รัฐที่รับรู้ว่าอีกฝ่าย “ไม่พร้อมใช้กำลัง” จะถูกทดสอบซ้ำ ๆ การที่นายพิธาเคยปราศรัยว่า "ทหารมีไว้ทำไม" และ "รบไปก็ไม่ชนะ" เท่ากับเป็นการ "เปิดเผยไพ่ในมือว่าเราอ่อนแอ" ให้ศัตรูเห็น เมื่อผู้นำสูงสุดแสดงท่าทีไม่เชื่อมั่นในกองทัพตนเอง ย่อมเชื้อเชิญให้ฝ่ายตรงข้ามรุกคืบได้ง่ายขึ้น เพราะเขารู้ว่าผู้นำไทยไม่กล้าสั่งรบ หัวใจสำคัญของการป้องกันประเทศไม่ใช่ "การรบชนะ" แต่คือ "การทำให้ศัตรูกลัวจนไม่กล้ารบ" แต่แนวคิดของนายพิธาทำลายความน่าเกรงขามนี้ลง ในภาวะที่ทหารต้องตรึงกำลังชายแดน หากผู้นำประเทศเคยพูดว่า "รบไปก็แพ้" หรือ "ทหารมีไว้ทำไม" ทหารหน้างานย่อมหมดกำลังใจ และอาจเกิดความระส่ำระสายในการบังคับบัญชา ซึ่งธนาธรมองข้ามจุดนี้ไปโดยไปโฟกัสที่การทูตเพียงอย่างเดียว นายธนาธรอ้างว่าจะใช้เครื่องมือการทูตและต่างประเทศ แต่ในความเป็นจริงของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ การทูตจะมีน้ำหนักก็ต่อเมื่อมีกองทัพที่เข้มแข็งหนุนหลัง หากไทยไม่มีเขี้ยวเล็บ การเจรจาต่อรองเรื่องเขตแดนจะเสียเปรียบทันที เพราะคู่เจรจารู้ว่าเราไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมเจรจา (เพราะเราประกาศไว้แล้วว่าไม่อยากใช้กำลัง) ตัวอย่าง: หากกัมพูชารุกข้ามแดน แล้วนายกฯ พิธาบอกว่า "เรามาคว่ำบาตรทางการค้ากันเถอะ" กว่าผลลัพธ์จะเกิด พื้นที่ตรงนั้นอาจถูกยึดครองไปเรียบร้อยแล้ว
ทำไมธนาธรถึงพูดเช่นนี้ ทั้งที่ดูขัดแย้งกับสถานการณ์?
การแก้ตัว: ธนาธรพยายามเปลี่ยนประเด็นจาก "การสู้รบ" (ซึ่งพรรคตนเสียเปรียบเพราะภาพลักษณ์ไม่เอาทหาร) ไปสู่ "การป้องกันไม่ให้เกิดสงคราม" (ซึ่งเป็นจุดขายเรื่องความทันสมัย/การทูต)
Grand Compromise: การพูดถึงเรื่องนี้ เพื่อส่งสัญญาณว่าพรรคประชาชนพร้อมจะประนีประนอมกับขั้วอำนาจเดิม (จารีต) มากขึ้น โดยยอมรับความผิดพลาดในอดีต (เรื่อง MOA หรือการก้าวร้าวทางการเมือง) เพื่อขอโอกาสกลับมามีอำนาจ (เป้าหมาย 250 เสียง)
ปราศรัยช่วงพิจารณางบ 2565-2566 พิธากล่าวว่า “เดี๋ยวนี้เวลากองทัพเรือเขารุกกัน เขาไม่ได้ใช้เรือดำน้ำ แต่เขาใช้เรือประมง คุณไปดูเวียดนามกับจีน มันเป็นการคุกคาม สร้างความวิตกจริตของแต่ละประเทศ มีการซ้อมรบกันจริง แต่ไม่เคยเกิดการรบจริง”
คำกล่าวของนายพิธาสะท้อนให้เห็นถึงจุดบอดทางยุทธศาสตร์ ที่อันตรายมาก 3 ประการ ดังนี้
ความเข้าใจผิดเรื่อง "สงครามพื้นที่สีเทา" นายพิธาพูดถูกเรื่องจีนใช้กองเรือประมง ในการรุกคืบ แต่วิเคราะห์ผิดใน "วิธีรับมือ"
ความจริง: จีนใช้เรือประมงเป็น "ด่านหน้า" ก็จริง แต่สิ่งที่ทำให้เรือประมงเหล่านั้นกล้าฮึกเหิมคือ "กองทัพเรือและเรือดำน้ำ" ที่จอดคุมเชิงอยู่ข้างหลัง ถ้าเวียดนามกล้ายิงเรือประมงจีน กองทัพเรือจีนจะเข้ามาจัดการทันที
จุดบอดของพิธา: การบอกว่า "ไม่ต้องมีเรือดำน้ำ/อาวุธหนัก ให้ไปจัดการเรือประมงอย่างเดียว" เปรียบเสมือนการบอกให้ตำรวจพกแค่กระบองไปจับโจรที่มีปืนเอ็ม 16 ซ่อนอยู่ข้างหลัง ถ้าวันหนึ่งสถานการณ์ยกระดับขึ้นมา เราจะไม่มีอำนาจต่อรองทันที
กับดักความคิด "สงครามจริงไม่เคยเกิด" ประโยคที่ว่า "มีการซ้อมรบกันจริง แต่ไม่เคยเกิดการรบจริง" คือตรรกะที่อันตรายที่สุดสำหรับผู้นำประเทศ
ความประมาท: ประวัติศาสตร์โลกสอนว่า สงครามมักเกิดขึ้นตอนที่ฝ่ายหนึ่งคิดว่า "อีกฝ่ายไม่กล้ารบ" หรือ "อีกฝ่ายอ่อนแอ" (ดูตัวอย่าง ยูเครน หรือ อิสราเอล ล่าสุด)
การเตรียมพร้อม: กองทัพมีไว้เพื่อประกันความเสี่ยง เราจ่ายเบี้ยประกันแพง ๆ ไม่ใช่เพราะเรา "อยาก" ให้ไฟไหม้บ้าน แต่เราจ่ายเพื่อให้มั่นใจว่าถ้าไฟไหม้ เราจะไม่หมดตัว การตัดงบโดยอ้างว่าไฟไม่ไหม้มานานแล้ว คือความเสี่ยงที่รับไม่ได้ในทางความมั่นคง
การเปรียบเทียบผิดบริบท นายพิธายกตัวอย่าง "ทะเลจีนใต้" (เวียดนาม-จีน) ซึ่งเป็นบริบททางทะเลลึก แต่สถานการณ์ของไทยมีความซับซ้อนกว่านั้น
บริบทไทย: ภัยคุกคามของเรามีทั้งทางบก (ชายแดนพม่า/เขมร) และทางทะเล การจะเอารูปแบบ "เรือประมงชนกัน" มาเหมาเชือดเฉือนงบประมาณกองทัพทั้งหมด (รวมถึงรถถัง ปืนใหญ่ ที่ใช้ป้องกันชายแดนทางบก) เป็นการตีกินทางการเมือง
ผลลัพธ์: หากเชื่อตามพิธา ลดงบอาวุธหนัก แล้ววันหนึ่งเกิดปะทะชายแดนทางบกกับเพื่อนบ้าน (อย่างกรณีเขาพระวิหารในอดีต) ทหารไทยจะมีแต่ "ยุทธวิธีเจรจา" แต่ไม่มี "ลูกปืนใหญ่" ไว้ยิงข่มขวัญ ซึ่งนั่นหมายถึงความพ่ายแพ้
สรุป ในเชิงยุทธศาสตร์ความมั่นคง คำพูดของธนาธรเป็นเพียง "สมมติฐานในอุดมคติ" ที่ว่า ถ้าคุยกันดี ๆ และใช้เศรษฐกิจนำ สงครามจะไม่เกิด แต่ในโลกความเป็นจริง โดยเฉพาะกับเพื่อนบ้านที่มีข้อพิพาทดินแดน แนวคิดของพิธาที่ปรากฏในคลิปหาเสียง (ลดทอนความสำคัญของกองทัพ/ยอมรับความพ่ายแพ้ล่วงหน้า) มีความเสี่ยงสูงที่จะทำให้ "สถานการณ์ชายแดนแย่ลงกว่าเดิม" เพราะศัตรูจะประเมินว่าผู้นำไทย "ไม่สู้" ทัศนคติของผู้นำพรรคส้ม (พิธา/ธนาธร) สะท้อนแนวคิด “การลดทอนกำลังทหาร” โดยตั้งอยู่บนสมมติฐานว่าโลกยุคใหม่ใช้การเจรจาและเศรษฐกิจแทนการรบ แต่แนวคิดนี้ละเลยความจริงที่ว่า “การทูตที่ไร้กำลังทหารหนุนหลัง คือการทูตที่ไร้พลัง” การประเมินภัยคุกคามต่ำกว่าความเป็นจริงเช่นนี้ หากได้เป็นรัฐบาล อาจนำพาประเทศไปสู่ความเสี่ยงสูงสุดเมื่อเผชิญวิกฤตชายแดนจริง เพราะขาดทั้งอาวุธและจิตวิญญาณในการต่อสู้ นี่คือเหตุผลที่ตอกย้ำว่า ทำไมความเชื่อของธนาธรที่ว่า "ถ้าพิธาเป็นนายกฯ สถานการณ์จะไม่เป็นแบบนี้" จึงฟังไม่ขึ้น เพราะถ้าพิธาเป็นนายกฯ จริง ด้วยทัศนคติแบบนี้ ป่านนี้เราอาจจะเสียเปรียบเพื่อนบ้านไปตั้งนานแล้วโดยที่ยังไม่ได้เริ่มเจรจาด้วยซ้ำ ข้อความนี้ของธนาธร จึงเป็นการพยายาม "Re-brand" จุดอ่อนของพรรคเรื่องความมั่นคง ด้วยการอ้างเรื่องการทูตเป็นอาวุธทางการทหารเท่านั้น แต่ก็เชื่อว่าเป็นวาทกรรมที่เอาไว้ใช้ขายฝันลม ๆ แล้ง ๆ หลอกติ่งส้มได้ตามเคย
#อัษฎางค์ยมนาค #พิธา #ธนาธร #พรรคก้าวไกล #ความมั่นคงของชาติ #การทูตที่ไร้พลัง #ทหารมีไว้ทำไม #ชายแดนไทย #สงครามพื้นที่สีเทา








