ชาวบ้านและพ่อค้าแม่ค้าตามแนวชายแดนในพื้นที่อำเภอบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์ เริ่มทยอยกลับไปประกอบอาชีพและเปิดร้านขายของชำภายในหมู่บ้านอีกครั้ง เพื่อหาเงินเลี้ยงครอบครัวและชำระหนี้สิน หลังต้องอพยพหนีการสู้รบและขาดรายได้มานานกว่า 2 สัปดาห์ แม้หลายคนยังไม่มั่นใจว่าฝ่ายกัมพูชาจะปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างจริงจัง แต่ยอมเสี่ยงเพื่อความอยู่รอดทางปากท้อง
วันนี้ (28 ธ.ค. 2568) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังการเจรจาหยุดยิงระหว่างไทย–กัมพูชา ชาวบ้านในพื้นที่ชายแดนอำเภอบ้านกรวดเริ่มกลับเข้าพื้นที่ และมีร้านค้าขนาดเล็ก ร้านขายของชำ รวมถึงร้านอาหาร เปิดให้บริการอีกครั้ง หลังจากต้องปิดกิจการชั่วคราวในช่วงเกิดเหตุสู้รบ ส่งผลให้ขาดรายได้ต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม ชาวบ้านหลายคนยังสะท้อนความกังวลต่อสถานการณ์ โดยระบุว่าแม้ไม่ต้องการให้เกิดสงครามหรือการสู้รบ แต่ในความรู้สึกอยากให้รัฐบาลหรือกองทัพจัดการปัญหาอย่างเด็ดขาด เพื่อไม่ให้กัมพูชากลับมาเป็นภัยคุกคาม และไม่อยากให้เกิดการสู้รบขึ้นอีกเป็นรอบที่สาม เนื่องจากทุกครั้งที่มีการอพยพ ประชาชนต้องทิ้งบ้านเรือนและไม่สามารถประกอบอาชีพได้ สร้างความเดือดร้อนอย่างหนัก
นายเหือน ชาญประโคน ชาวอำเภอบ้านกรวด เปิดเผยว่า ครอบครัวมีอาชีพเปิดร้านขายของชำ ก๋วยเตี๋ยว และอาหารตามสั่ง โดยปกติหากไม่มีเหตุสู้รบจะมีรายได้วันละประมาณ 4,000–5,000 บาท แต่หลังเกิดสถานการณ์ความไม่สงบ ทำให้ต้องหยุดขายและขาดรายได้ทันที
หลังมีการเจรจาหยุดยิงและเริ่มมีชาวบ้านกลับเข้าพื้นที่ จึงตัดสินใจเปิดร้านอีกครั้ง แม้รายได้ยังไม่กลับมาเป็นปกติ เนื่องจากชาวบ้านบางส่วนยังพักอยู่ในศูนย์อพยพ และยังไม่มั่นใจต่อสถานการณ์ความปลอดภัย
นายเหือนกล่าวด้วยว่า ส่วนตัวยังไม่เชื่อมั่นว่ากัมพูชาจะหยุดยิงตามข้อตกลงอย่างแท้จริง แต่จำเป็นต้องกลับมาทำมาหากินเพื่อเลี้ยงครอบครัว พร้อมฝากถึงรัฐบาลให้จัดการปัญหาอย่างจริงจังและเด็ดขาด ไม่ให้เกิดการสู้รบขึ้นอีก เพราะประชาชนในพื้นที่ชายแดนได้รับความเดือดร้อนอย่างมากทุกครั้งที่เกิดเหตุความไม่สงบ
ภูมิภาค 54








