ข่าวภูมิภาค

กยท.ทุ่มงบกว่า 2,000 ล้าน เยียวยาชาวสวนยาง 9 จว.ชายแดนไทย–กัมพูชา

แชร์ข่าว

กยท. เตรียมทุ่มงบกว่า 2,000 ล้าน ช่วยเหลือชาวสวนยาง 9 จังหวัด ที่ไม่สามารถออกไปกรีดยางได้ตามปกติ และได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา รายละ 3,000 บาท รวมสวนยางเสียหายกว่าล้านไร่ เผยก่อนหน้าที่ราคาดิ่งลง ชี้ผลกระทบจากน้ำท่วมหาดใหญ่ และค่าเงินบาทแข็งค่า แต่ขณะนี้ราคายางเริ่มปรับขึ้นเล็กน้อย คาดหลังจากนี้จะปรับราคาขึ้นอีก แต่ไม่ได้ลดลงกว่าปีที่แล้ว

วันที่ 19 ธ.ค.68 ที่ศูนย์พักพิงชั่วคราว อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ ดร.เพิก เลิศวังพง รักษาการแทนผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย และคณะ ได้นำถุงยังชีพ จำนวน 1,000 ชุด มามอบช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยางพารา ในพื้นที่แนวชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ได้เข้ามาพักอาศัยอยู่ในศูนย์พักพิงชั่วคราวฯ โดยมี นายปิยะ ปิจนำ ผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ และหัวหน้าส่วนราชการ ผู้แทนหน่วยงาน เป็นผู้แทนรับมอบ

ดร.เพิก เลิศวังพง รักษาการแทน ผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) หรือ RAOT กล่าวว่า ได้มีการเตรียมการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยางพารา ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบแนวชายแดนไทย-กัมพูชา โดยเป็นเงินงบประมาณของการยางแห่งประเทศไทย ในเบื้องต้นได้นำถุงยังชีพออกไปแจกจ่ายให้กับเกษตรกรแล้ว ส่วนการชดเชยช่วยเหลือจากการขาดรายได้ การยางแห่งประเทศไทยจะช่วยเยียวยาช่วยเหลือ รายละ 3,000 บาท ระหว่างที่ชาวบ้านยังไม่สามารถเข้าไปทำกินในพื้นที่ตัวเองได้ แต่หากมีเกษตรกรชาวสวนยางฯ รายใดเสียชีวิต จะช่วยเหลือค่าทำศพรายละ 30,000 บาท ซึ่งการยางฯ จะพยายามช่วยเหลือเต็มที่เท่าที่จะสนับสนุนได้

ส่วนเรื่องของการฟื้นฟูสภาพสวนยางพารา ที่ได้รับผลกระทบจากการโดนระเบิด และที่ไม่สามารถเข้าไปกรีดยางในช่วงนี้ได้ ก็ช่วยเรื่องของวัสดุอุปกรณ์การเกษตรเพื่อเป็นการช่วยลดต้นทุนให้กับชาวสวนยางพารา เช่น ปุ๋ย เป็นต้น

รักษาการแทน ผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย กล่าวต่อว่า สำหรับพื้นที่ จ.บุรีรัมย์ มีพื้นที่สวนยางพาราที่ได้รับผลกระทบแล้วกว่า 1 แสนกว่าไร่ รวมในพื้นที่จังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์สู้รบใน 9 จังหวัด มีความเสียหายแล้วเป็นล้านไร่ ทำให้ช่วงนี้ผลผลิตหายไปค่อนข้างเยอะ ความเสียหายตอนนี้น่าจะมีไม่ต่ำกว่า 10,000 ตัน หรือประมาณ 15,000 ตันต่อวัน ที่หายไปจากการการสู้รบ

ดร.เพิก กล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเจ้าหน้าที่ก็เป็นผู้ประสบภัยเหมือนกัน เพราะเป็นเรื่องของสงครามไม่ใช่เรื่องของการค้า ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่หรือเกษตรกร ก็ได้รับผลกระทบเหมือนกันหมด สิ่งที่การยางฯทำได้ในเบื้องต้น ถึงจะเป็นผู้ประสบภัยแต่ความเป็นเจ้าหน้าที่ ก็ต้องมีความรับผิดชอบมากกว่าประชาชนทั่วไป ก็ต้องขอขอบคุณเจ้าหน้าที่การยางทุกคนที่ช่วยกัน แม้ตัวเองก็ได้ผลกระทบด้วย

เมื่อถามถึงสถานการณ์ยางพาราในช่วงนี้เป็นอย่างไรบ้าง ดร.เพิก กล่าวว่า จะเห็นว่าราคายาง 20 วันที่ผ่านมา เป็นช่วงขาลง เนื่องจากตอนนั้นน้ำท่วมหาดใหญ่ โรงงานขนาดใหญ่ปิดทำการ แต่พอหลังจากที่โรงงานฟื้นฟูกับเครื่องจักรอะไรที่เสียหายกลับมาแล้ว ก็ยังมีผลกระทบเรื่องของแรงงานที่อยู่ในโรงงาน ประกอบกับช่วงนี้พอน้ำมันถูกลง ทำให้ยางสังเคราะห์ถูกด้วย บวกกับค่าเงินบาทที่แข็งค่าเกือบบาทถึงต่อต่อเหรียญ ราคายาง 2,000 กว่าเหรียญต่อตัน ตัน 1 ก็หายไป 2,000-3,000 เหมือนกัน จึงทำให้กระทบกันหมด

นอกจากนี้ การยางฯได้มีการนำเงินนมาหมุนเวียนประมาณ 2,000 กว่าล้าน ซึ่งชาวบ้านอาจจะมองว่า 2,000 กว่าล้าน อาจจะเยอะ แต่ในระบบจริง ๆ นิดเดียว เพราะมูลค่ายางปี 1 ประมาณ 300,000 ล้าน หรือ 2-3 แสนเฉพาะยางที่เป็นวัตถุดิบของชาวบ้าน เพราะฉะนั้นเงิน 2,000 กว่าล้าน การยางฯ ก็บริหารจัดการเท่าที่จะทำได้ ก็ใช้เป็นเงินหมุนเวียนไป จะเห็นว่าตอนนี้ยางหยุดการลงเรียบร้อย 2 วันที่ผ่านมา ตอนนี้ก็ขยับขึ้นเป็นขาขึ้น อาจจะขึ้นไม่ไม่แรงเท่าไหร่ เพราะว่าก็ต้องดูที่เศรษฐกิจโลกด้วยส่วนหนึ่ง เพราะว่าความต้องการตอนนี้ ต่างประเทศก็กำลังมองดูอยู่ว่าสถานการณ์จะเป็นยังไง

รักษาการแทน ผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย กล่าวด้วยว่า แน่นอนเรื่องสินค้าคอมมูนิตี้ สินค้าโภคภัณฑ์ เราเป็นผู้ผลิตอันดับ 1 เราใช้ในประเทศแค่ประมาณไม่เกิน 20% เพราะฉะนั้นเราใส่ใจการส่งออก ก็ต้องสร้างมาตรการที่มีเอฟเฟกต์กับโลก อย่างตอนนี้โลกรับรู้ว่าเรามีผลกระทบ ผลผลิตหายไป เขาก็ชะลอ ไม่ส่งคําสั่งซื้อ เพอไม่ส่งคําสั่งซื้อ โรงงานก็จําเป็นที่จะต้องมาลดราคาในประเทศลงหรือชะลอการซื้อ แต่สุดท้าย มีการปรับลดอำนาจซื้อขายลง (Leverage) ก็ต้องดูว่าราคาตอนที่มันลดลงไปก็เป็นช่วงหนึ่ง เดี๋ยวคงจะกลับขึ้นไป เพราะฉะนั้นราคาทั้งปีเฉลี่ยก็จะไม่ได้ลดลงกว่าปีที่แล้ว

#ภูมิภาค-54

ข่าวแนะนำ