ความขัดแยงชายแดนระหว่าง "ไทย" กับ "กัมพูชา" ที่ปะทุตั้งแต่วันที่ 7 ธันวาคม 2568 และยืดเยื้อมาจนถึงปัจจุบัน ได้สร้างผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเศรษฐกิจ สังคม และการท่องเที่ยวของไทยในวงกว้างอย่างต่อเนื่อง จากการรวบรวมข้อมูลจากหลายแหล่งที่เชื่อถือได้ พบว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นมีความซับซ้อน ลึกซึ้ง และรุนแรงกว่าที่คาดการณ์ไว้ในช่วงแรกอย่างมีนัยสำคัญ
ความเสียหายที่เห็นชัดและรุนแรงที่สุดอยู่ที่ "การค้าชายแดน" โดยเฉพาะใน 7 จังหวัดที่ได้รับผลกระทบหลัก รวมถึง สุรินทร์ ศรีสะเกษ บุรีรัมย์ และอุบลราชธานี การปิดจุดผ่านแดนสำคัญหลายแห่งทำให้มูลค่าการค้าชายแดนแทบหยุดชะงัก มูลค่าการค้าหายไปเกือบทั้งหมดในช่วงที่มีการปะทะอย่างรุนแรงต่อเนื่อง
ด้านมูลค่าความเสียหาย มีการประเมินว่าในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 ความขัดแย้งครั้งนี้อาจส่งผลกระทบต่อมูลค่าการค้าชายแดนรวมสูงถึง 8–9 หมื่นล้านบาท (ข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทย) และเคยมีรายงานว่าความเสียหายจากการค้าชายแดนในบางช่วงพุ่งสูงถึงวันละประมาณ 500 ล้านบาท โดยการค้าบางด่านหดตัวลงถึง 99.5% จนแทบไม่เหลือการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจ
ในด้านสินค้าและซัพพลายเชน การหยุดชะงักของด่านชายแดนได้กระทบต่อการส่งออกสินค้าสำคัญจากไทยไปยังกัมพูชา รวมถึงการนำเข้าสินค้าจำเป็นอย่างมันสำปะหลัง ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญของไทย ส่งผลให้ผู้ประกอบการต้องมองหาเส้นทางขนส่งทางเลือกที่มีต้นทุนสูงขึ้น ทั้งด้านค่าใช้จ่าย ระยะเวลา และความเสี่ยงในระบบโลจิสติกส์โดยรวม
นอกจากนี้ การลงทุนของนักธุรกิจไทยในกัมพูชาก็ได้รับผลกระทบอย่างหนัก ผู้ประกอบการไทยกว่า 100 ราย ที่มีมูลค่าการลงทุนรวมกันกว่า 5 หมื่นล้านบาทในกัมพูชา ทั้งในธุรกิจเครื่องดื่ม ค้าปลีก และบริการต่าง ๆ ต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนสูง หลายรายจำเป็นต้องทบทวนแผนธุรกิจ ปรับลดกิจกรรมทางการตลาด หรือชะลอการขยายการลงทุนออกไปอย่างไม่มีกำหนด
ภาคการท่องเที่ยวของไทย ซึ่งกำลังอยู่ในช่วงฟื้นตัว กลับต้องเผชิญแรงกดดันครั้งใหม่จากความไม่มั่นคงบริเวณชายแดน แม้ความเสียหายต่อ GDP ของไทยในภาพรวมอาจไม่สูงเท่ากัมพูชา แต่ "ภาพลักษณ์ด้านความปลอดภัย" ที่สั่นคลอนได้ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวต่างชาติอย่างชัดเจน
มีการประเมินว่าความเสียหายต่อภาคการท่องเที่ยว อาจสูงถึงประมาณ 2,970–3,000 ล้านบาทต่อเดือน โดยเฉพาะในจังหวัดชายแดน ที่พึ่งพารายได้จากการท่องเที่ยวและการค้าชายแดนอย่าง บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี ซึ่งต้องเผชิญกับการสูญเสียรายได้หลักไม่ต่ำกว่า 1,785 ล้านบาทต่อเดือน
สถานการณ์ความตึงเครียดทำให้เกิด "การยกเลิกการเดินทาง" จำนวนมาก มีรายงานว่าบางจังหวัดชายแดนมีอัตราการเข้าพักโรงแรมลดลง หรือมีการยกเลิกการจองสูงถึง 70–100% รวมถึงยอดการยกเลิกการจองห้องพักมากกว่า 5,000 ห้อง ส่งผลให้โรงแรม รีสอร์ต ร้านอาหาร ร้านของฝาก และผู้ประกอบการท่องเที่ยวรายย่อยในพื้นที่กลายเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบรุนแรงในลำดับแรก ๆ
ผลกระทบยังลุกลามไปยังพื้นที่ท่องเที่ยวอื่นที่ไม่ได้ติดชายแดนโดยตรง เช่น จันทบุรี ตราด รวมถึงการยกเลิกทริปเดินทางไปยังเกาะต่าง ๆ ที่นักท่องเที่ยวมองว่าอาจมีความเสี่ยงด้านความปลอดภัย นอกจากนี้ยังมีการรับรู้ความเสี่ยงที่แผ่ขยายไปถึงกรุงเทพฯ และเชียงใหม่ แม้จะอยู่ในระดับไม่รุนแรงเท่าพื้นที่ชายแดน แต่ก็สร้างผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในภาพรวมของประเทศ
ผลกระทบทางสังคมถือเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องให้ความสำคัญสูงสุด เพราะเกี่ยวพันโดยตรงกับคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชน โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดนที่ต้องเผชิญความเสี่ยงทั้งด้านความปลอดภัยและเศรษฐกิจในเวลาเดียวกัน
การปิดด่านชายแดนส่งผลกระทบต่อแรงงานกัมพูชาจำนวนมากที่เคยข้ามแดนเข้ามาทำงานฝั่งไทย ทั้งในภาคเกษตรกึ่งพรมแดน แรงงานก่อสร้าง และภาคบริการ ทำให้รายได้ของแรงงานและครอบครัวในฝั่งกัมพูชาสะดุด ขณะเดียวกันธุรกิจในไทยที่พึ่งพาแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านก็ต้องเผชิญปัญหาขาดแคลนแรงงานในบางพื้นที่
ด้านสาธารณสุข ชาวกัมพูชาจำนวนไม่น้อยนิยมเดินทางเข้ามารักษาพยาบาลในโรงพยาบาลฝั่งไทย แต่เมื่อเกิดความไม่สงบและมีการปิดด่าน ทำให้การเข้าถึงบริการด้านสุขภาพมีข้อจำกัด ส่งผลกระทบต่อทั้งผู้ป่วยและสถานพยาบาลที่เคยมีรายได้จากกลุ่มผู้รับบริการข้ามแดนเหล่านี้
สถานการณ์ความไม่สงบยังส่งผลให้ระบบบริการสาธารณสุขใน 6 จังหวัดชายแดนต้องเผชิญข้อจำกัดในการปฏิบัติงาน มีรายงานการ "ปิดโรงพยาบาล" ในพื้นที่ปะทะถึง 7 แห่ง ซึ่งกระทบโดยตรงต่อความมั่นคงในชีวิตและความเชื่อมั่นของประชาชนทั้งชาวไทยและชาวกัมพูชา เนื่องจากไม่สามารถเข้าถึงบริการทางการแพทย์ได้อย่างต่อเนื่องและทั่วถึง
ด้านการจ้างงานและรายได้ของคนในพื้นที่ การค้าขายที่หยุดชะงักทำให้ประชาชนจำนวนมากสูญเสียช่องทางทำมาหากิน ร้านค้า ตลาดชายแดน พ่อค้าแม่ค้าที่ค้าขายกับนักท่องเที่ยวและแรงงานข้ามชาติ ต่างเผชิญภาวะรายได้ลดลงอย่างรุนแรง ภาคเกษตรกร โดยเฉพาะผู้เลี้ยงวัว ควาย และเกษตรกรผู้ปลูกพืชในพื้นที่ใกล้แนวปะทะ ก็ได้รับผลกระทบจากการไม่สามารถเข้าไปดูแลสัตว์เลี้ยงหรือเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ตามปกติ จนเกิดความเสียหายโดยตรงต่อทรัพย์สินและรายได้ในครัวเรือน ซึ่งล้วนต้องการมาตรการเยียวยาเร่งด่วนจากภาครัฐ
เมื่อพิจารณาในมุมมอง GDP ภาพรวมของเศรษฐกิจไทยอาจไม่ได้รับผลกระทบหนักเท่าประเทศกัมพูชา ซึ่งพึ่งพาการค้าและการท่องเที่ยวกับไทยในสัดส่วนสูงกว่า แต่ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับเศรษฐกิจฐานรากในพื้นที่ชายแดน ภาคการท่องเที่ยว และความเชื่อมั่นของนักลงทุนและนักท่องเที่ยว ถือเป็น "สัญญาณเตือนภัยสีแดง" ที่ไม่อาจมองข้ามได้
รัฐบาลจำเป็นต้องเร่งเดินหน้าการเจรจาทางการทูตเพื่อคลี่คลายและยุติความขัดแย้งบริเวณชายแดนให้เร็วที่สุด ควบคู่ไปกับการออก "มาตรการเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจ" ในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบอย่างเป็นรูปธรรม ทันท่วงที และตรงจุด ทั้งต่อผู้ประกอบการรายใหญ่ ผู้ประกอบการรายย่อย เกษตรกร และแรงงานในพื้นที่ รวมถึงการสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยผ่านมาตรการรักษาความสงบเรียบร้อยและการสื่อสารเชิงรุก เพื่อดึงนักท่องเที่ยวและนักลงทุนให้กลับคืนมาโดยเร็วที่สุด
การวิเคราะห์ผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมจากความขัดแย้งชายแดนไทย–กัมพูชา ทั้งในมิติการค้าชายแดน การท่องเที่ยว และคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ จึงเป็นประเด็นสำคัญที่ทุกภาคส่วนต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ความขัดแย้ง “ไทย–กัมพูชา” ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจหลักหมื่นล้าน ตั้งแต่การค้า การท่องเที่ยว ไปจนถึงการลงทุน เป็นบทเรียนสำคัญที่ต้องนำมาใช้ในการวิเคราะห์และให้ข้อมูลเชิงลึกเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลกระทบในด้านต่าง ๆ เหล่านี้ เพื่อใช้ประกอบการวางแผนรับมือในอนาคตของทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชนทั่วไป
#ความขัดแย้งไทยกัมพูชา #ชายแดนไทยกัมพูชา #เศรษฐกิจไทย #การค้าชายแดน #การท่องเที่ยวไทย #การลงทุนไทยในกัมพูชา #ชายแดนภาคตะวันออก #ผลกระทบเศรษฐกิจ #WorldWideWealth #วิเคราะห์เศรษฐกิจ #ไทยกัมพูชา #ผลกระทบเศรษฐกิจไทยกัมพูชา







