เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 4 ธ.ค. 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังจากคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ออกประกาศ กำหนดเวลาห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2568 ปลดล็อกช่วงเวลาห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และขยายระยะเวลานั่งดื่มในร้านเป็นกรณีทดลอง 180 วัน ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 3 ธ.ค. 2568 เป็นต้นไป ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่สำรวจความคิดเห็นผู้ประกอบการร้านอาหารในพื้นที่จังหวัดขอนแก่น โดยเฉพาะร้านฟรายเดย์และร้านสุนทรี ริมบึงหนองโคตร ตำบลบ้านเป็ด อำเภอเมืองขอนแก่น ซึ่งผู้ประกอบการส่วนใหญ่เห็นตรงกันว่า มาตรการปลดล็อกครั้งนี้จะช่วยเพิ่มยอดขายในร้านอาหารได้ประมาณ 5–10% แต่กลุ่มที่ได้ประโยชน์เต็มที่คือร้านสะดวกซื้อและร้านขายของชำ
นายพีรวัส (สงวนนามสกุล) อายุ 47 ปี ผู้ประกอบการในจังหวัดขอนแก่น กล่าวว่า การปลดล็อกถือเป็นเรื่องดีเพราะช่วยให้ผู้ดื่มไม่ต้องหลบซ่อน แต่ในมุมธุรกิจแล้วลูกค้าที่ดื่มช่วงกลางวันมีเพียง 5–10% ของลูกค้าทั้งหมด เนื่องจากลูกค้าหลักจะเข้ามาช่วงเย็น แม้ร้านจะเปิดตอนเช้าแต่ยอดขายหลักยังเป็นอาหารและกาแฟ เขามองว่าผลที่จะเกิดขึ้นชัดเจนที่สุดคือร้านสะดวกซื้อ เพราะเดิมช่วงเวลาดังกล่าวไม่สามารถขายได้ แต่เมื่อปลดล็อกยอดขายย่อมเพิ่มแน่นอน หากยกเลิกการกำหนดช่วงเวลาขายไปเลยจะดีกว่า เพราะบางคนต้องการดื่มเร็วและเลิกเร็ว เช่น เลิกงานแล้วต้องการดื่มและกลับบ้านพักผ่อนช่วง 3–4 ทุ่ม ไม่ได้ต้องการนั่งยาว เขามองว่ามาตรการทดลอง 180 วันอาจไม่จำเป็น เนื่องจากในความเป็นจริงก็มีร้านที่ลักลอบขายในช่วงเวลาห้ามขายอยู่แล้ว หากบังคับใช้กฎหมายจริง ๆ จะจับได้จำนวนมาก จึงเห็นว่าควรปล่อยให้เป็นอิสระ เพื่อให้ทุกอย่างเป็นไปตามความจริงและสอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภค
ด้านนายชามา (สงวนนามสกุล) อายุ 54 ปี กล่าวว่า การปลดล็อกช่วงเวลา 14.00–17.00 น. เป็นเรื่องปกติและไม่ได้ส่งผลกับผู้บริโภคมากนัก แต่ช่วยให้การซื้อขายสะดวกขึ้น และยังเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจ เพราะหลายประเทศไม่มีการจำกัดเวลาในการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มาตรการนี้จะช่วยดึงเม็ดเงินกลับมา โดยเฉพาะในช่วงปลายปีที่เป็นไฮซีซันของการเฉลิมฉลอง สำหรับยอดขายในร้านอาหารคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยประมาณ 5–10% โดยกลุ่มลูกค้าหลักยังคงเป็นผู้ใหญ่ที่มานั่งดื่มช่วงค่ำ มองว่าอานิสงส์ที่ได้จริงจะเกิดกับร้านสะดวกซื้อและร้านชำมากกว่า เห็นผลชัดเจนแน่นอน พร้อมทั้งกล่าวถึงประเด็นนั่งดื่มเกินเที่ยงคืนว่า ไม่เห็นด้วยที่จะใช้มาตรการจับกุมแบบเข้มงวด เนื่องจากบางครั้งลูกค้ายังดื่มไม่หมดก็ต้องนั่งต่อ ซึ่งควรคำนึงถึงความรับผิดชอบของผู้ดื่มด้วย โดยปัจจุบันมีบริการเรียกรถหรือเรียกคนมาขับรถให้หลากหลายทางเลือก จึงควรเน้นจิตสำนึกและความปลอดภัยของผู้บริโภคมากกว่าการควบคุมด้วยบทลงโทษเพียงอย่างเดียว
#ภูมิภาค-48








