สัปดาห์พระเครื่อง/ อ.ราม วัชรประดิษฐ์
ในอดีตพระนิพนธ์ของ สมเด็จฯ กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ได้กล่าวไว้ตอนหนึ่งถึงของดีแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ว่า: "ผู้ใดมีพระวัดรังษี ผู้นั้นชีวีไม่วางวาย"
ถ้ากล่าวถึง "พระวัดรังษี" หลายคนคงรู้จักดี เนื่องจากเป็นพระที่มีชื่อเสียงมากและเป็นที่นิยมสูงในอดีต ดังพระนิพนธ์ของ สมเด็จฯ กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ได้กล่าวไว้ตอนหนึ่งของการกล่าวถึงของดีแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ว่า "ผู้ใดมีพระวัดรังษี ผู้นั้นชีวีไม่วางวาย" ซึ่งนับเป็นคำกล่าวที่ไม่ต้องมีคำบรรยายใด ๆ ก็สามารถบ่งบอกถึงคุณค่าของพระวัดรังษีอย่างที่จะหาพระวัดใดเทียบเท่าได้แล้ว ทำให้สนนราคาเช่าหาในช่วงนั้นแพงกว่าพระสมเด็จวัดบางขุนพรหมถึง 3–4 เท่าทีเดียว ณ ปัจจุบัน ถือเป็นพระเครื่องที่หายากมาก
เดิมบริเวณ "วัดบวรนิเวศวิหาร" เป็นที่ตั้งของวัด 2 วัดซึ่งอยู่ติดกัน คือ วัดบวรนิเวศ และ วัดรังษี สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมพระยาปวเรศฯ เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศ ก็ใกล้ชิดสนิทสนมกับ ท่านเจ้าคุณธรรมกิติ เจ้าอาวาสวัดรังษี มาก ไปมาหาสู่เพื่อแลกเปลี่ยนและศึกษาหาความรู้กันเป็นประจำ ต่อมาเมื่อท่านเจ้าคุณธรรมกิติมรณภาพ สมเด็จพระสังฆราช กรมพระยาปวเรศฯ จึงรวมวัดรังษีเข้ากับวัดบวรนิเวศ ตั้งชื่อใหม่ว่า "วัดบวรรังษี" ซึ่งก็คือ "วัดบวรนิเวศวิหาร" ในปัจจุบัน
พระผงวัดรังษี พิมพ์นิยม
พระวัดรังษีนั้น แบ่งแยกได้ทั้งหมด 4 พิมพ์ คือ
พิมพ์ใหญ่ เนื้อผงขาว
พิมพ์ใหญ่ เนื้อผงดำ ลงรักล่องชาด และปิดทอง หลังกดตรายันต์
พิมพ์กลาง เนื้อผงขาว ศิลปะหน้าตักจะเหมือนเลข 8 แนวนอน
พิมพ์เล็ก เนื้อผงขาว ศิลปะหน้าตักเหมือนเลข 8 แนวนอน
นอกจากนี้ ในแต่ละพิมพ์ก็มีเกร็ดเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้สังเกตอีกมาก อาทิ พระวัดรังษี เนื้อผงขาว ทั้งพิมพ์ใหญ่ พิมพ์กลาง และพิมพ์เล็ก นั้น มีทั้งชนิดปิดทองและไม่ปิดทอง
พระผงวัดรังษี พิมพ์เล็ก
ข้อสังเกตและพุทธลักษณะ
ข้อน่าสังเกตประการหนึ่งคือ กรรมวิธีการปิดทองของพระวัดรังษีจะแตกต่างจากพระสมเด็จวัดระฆังโฆสิตารามของท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ซึ่งจะนำองค์พระจุ่มรักก่อนแล้วจึงปิดด้วยทองคำเปลว แต่สำหรับพระวัดรังษีของท่านเจ้าคุณธรรมกิติ นั้น ไม่มีการจุ่มรัก ท่านเจ้าคุณฯ จะใช้ทองคำเปลวปิดลงบนแม่พิมพ์ก่อนแล้วจึงกดพิมพ์ เมื่อถอดพระออกทองคำเปลวก็จะติดบนองค์พระ กรรมวิธีดังกล่าวนี้จึงทำให้ทองคำเปลวติดไม่แน่นนัก เมื่อผ่านกาลเวลายาวนานถึงปัจจุบันเป็นร้อยปี องค์พระจึงมีทองเปลวติดอยู่บ้างและหลุดลอกไปบ้าง
ด้านเนื้อมวลสารที่ใช้สร้างองค์พระก็จะมีลักษณะแห้งและหดตัวมาก ทำให้เส้นสายต่าง ๆ บนองค์พระเกิดเป็นเส้นนูนและคมชัดเจน เส้นนูนแต่ละเส้นตรงรอยที่ติดกับพื้นขององค์พระจะเป็นร่องของการหดตัวคอดกิ่ว เหมือนเอาเส้นขนมจีนไปวางเรียงไว้ ถ้าพิจารณาพุทธลักษณะโดยรวมแล้วค่อนข้างจะเหมือนกับพระกริ่งที่มีศิลปะแม่พิมพ์ลึกมาก ดังนั้น แนวทางการพิจารณาน่าเริ่มจากการจดจำภาพรวมของลักษณะ หน้าตา ลำตัว แขน มือ หน้าตัก และฐาน รวมทั้งเนื้อมวลสารและเอกลักษณ์ของพื้นผิวขององค์พระก่อน แต่ที่สำคัญขอเน้นเรื่อง "หน้าตา" เหมือนกับเราจดจำคนนั่นแหละ พบเห็นหน้ากันบ่อย ๆ ก็จะคุ้นตาชินตา
พระผงวัดรังษี พิมพ์ห้าเหลี่ยม
เอกลักษณ์ของพระวัดรังษี พิมพ์ใหญ่
ยกตัวอย่าง พระวัดรังษี พิมพ์ใหญ่ ทั้งเนื้อผงขาว และเนื้อผงสีดำ ลงรักล่องชาดและปิดทอง หลังกดตรายันต์ มีเอกลักษณ์เฉพาะที่:
องค์พระประธาน ประทับนั่งขัดสมาธิเพชร
พระบาทข้างขวา ขององค์พระที่ทับอยู่บนพระบาทข้างซ้ายจะลึก เห็นเป็นลำน่องอย่างชัดเจน (สาเหตุมาจากการหดตัวขององค์พระนั่นเอง)
ขอบแม่พิมพ์ เส้นนอกเป็นเส้นโค้ง เส้นในเป็นเม็ด ส่วนปีกขอบจะปลิ้นขึ้นและเป็นสันคม
บริเวณกึ่งกลางของ พระกรรณ มีลักษณะยุบลง และส่วนปลายพระกรรณ มีเม็ดยื่นทั้งสองข้าง
พระผงวัดรังษี พิมพ์ใหญ่
พระกรด้านซ้าย ขององค์พระถือคนโทน้ำมนต์
พระอังคุฐ (นิ้วหัวแม่มือ) มีลักษณะเหมือนก้ามปู
ผ้าทิพย์ ที่อยู่ระหว่างพระเพลาและฐานขององค์พระจะลึกและเป็นสันคมมาก
ดอกบัวด้านล่าง ข้างขวาสุดขององค์พระไม่ติดขอบบนของฐาน
พิมพ์ด้านหลัง นูนเหมือนหลังเบี้ย ปรากฏรอยเหมือนลายเส้นหัวแม่มือ ขอบด้านหลังจะคมและม้วนไปข้างหน้า
ส่วนที่แตกต่างคือ พระวัดรังษี พิมพ์ใหญ่ เนื้อผงสีดำ ลงรักล่องชาดและปิดทอง หลังกดตรายันต์ นั้น นอกจากจะลงรักล่องชาดและปิดทองแล้ว ด้านหลังจะมีตรายันต์ประทับอยู่ด้วย








