กยท. เตรียมงบช่วยเหลือชาวสวนยาง 5 จังหวัดชายแดน หลังไม่สามารถกรีดยางได้ เหตุสถานการณ์ตึงเครียด พร้อมมาตรการเยียวยา-ศูนย์พักพิงรองรับผลกระทบ
วันที่ 9 ธ.ค.68 การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) หรือ RAOT เตรียมพร้อมมาตรการช่วยเหลือชาวสวนยางและประชาชนในพื้นที่ชายแดนไทย–กัมพูชาเต็มกำลัง เผยชาวสวนยางในพื้นที่ 5 จังหวัดอาจได้รับผลกระทบกว่า 55,000 ราย ไม่สามารถออกไปกรีดยางได้ตามปกติ คาดปริมาณยางพาราหายจากตลาดกว่า 4.8 แสน กก.ยางแห้ง/วัน ยืนยันความพร้อมในการช่วยเหลือ-บรรเทาความเดือดร้อนชาวสวนยางอย่างต่อเนื่องทุกสถานการณ์
ดร.เพิก เลิศวังพง รักษาการแทนผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนไทย–กัมพูชา ตั้งแต่วันที่ 7 ธันวาคมที่ผ่านมา ครอบคลุมจังหวัดบุรีรัมย์ อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ และตราด ได้ส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน รวมถึงเกษตรกรชาวสวนยางที่ไม่สามารถออกกรีดยางได้ จำนวนกว่า 55,000 ราย (ข้อมูลจากเกษตรกรชาวสวนยางที่ขึ้นทะเบียนกับ กยท. ในพื้นที่ 5 จังหวัด รวม 24 อำเภอ) รวมพื้นที่สวนยางประมาณ 609,000 ไร่ อาจส่งผลให้มีปริมาณยางพาราหายไปจากตลาดวันละกว่า 487,000 กก. ยางแห้ง ซึ่งจากสถานการณ์ดังกล่าว กยท. มีความห่วงใยต่อพี่น้องชาวสวนยางและประชาชนในพื้นที่ จึงเร่งดำเนินมาตรการบรรเทาความเดือดร้อนเบื้องต้น เตรียมจัดสรรงบประมาณกว่า 1.8 ล้านบาท เพื่อจัดสรรถุงยังชีพมอบให้แก่ เกษตรกรชาวสวนยางและประชาชนในพื้นที่ เพื่อบรรเทาผลกระทบในระยะเร่งด่วน
นอกจากนี้ กยท. ได้เปิดศูนย์พักพิงชั่วคราว เพื่อรองรับและดูแลผู้ที่ได้รับผลกระทบ พร้อมย้ายที่ทำการ กยท. ในพื้นที่เสี่ยง (กยท. สาขาบ้านกรวด ไปที่ กยท. จังหวัดบุรีรัมย์ และ กยท. สาขากันทรลักษ์ ไปที่ กยท. จังหวัดศรีสะเกษ) เป็นการชั่วคราว เพื่อให้การบริการเกษตรกรชาวสวนยางได้อย่างต่อเนื่องและมีความปลอดภัย ดร.เพิก กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับเกษตรกรชาวสวนยางที่ขึ้นทะเบียนกับ กยท. หากสวนยางได้รับความเสียหายจนเสียสภาพสวน หรือต้นยางได้รับความเสียหายเกิน 20 ต้น/แปลง จากเหตุการณ์ความไม่สงบดังกล่าว สามารถยื่นขอรับสวัสดิการเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนได้ รายละไม่เกิน 3,000 บาท/แปลง และในกรณีที่เกษตรกรชาวสวนยางที่ขึ้นทะเบียนเสียชีวิต กยท. จะมอบเงินช่วยเหลือแก่ทายาท รายละไม่เกิน 30,000 บาท
“กยท. พร้อมยืนเคียงข้างพี่น้องชาวสวนยางและประชาชนในพื้นที่ทุกสถานการณ์ พร้อมร่วมบูรณาการความร่วมมือกับภาคีที่เกี่ยวข้องในการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อให้การช่วยเหลือเป็นไปอย่างรวดเร็ว ทั่วถึง และปลอดภัยสูงสุด” ดร.เพิก กล่าว








